แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มิได้มาเบิกความด้วยตนเอง มีแต่ผู้รับมอบอำนาจมาเบิกความ จึงเป็นพยานบอกเล่า ไม่อาจรับฟังว่าโจทก์ได้รับความเสียหายทั้งเป็นความเสียหายที่ไกลเกินคาดคิดโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายจากการที่มูลนิธิชินนะปูโตอนุสรณ์ถูกเพิกถอนใบอนุญาตโจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยสั่งยกอุทธรณ์ของโจทก์โดยไม่มีเจตนาทุจริต จึงเป็นการพิพากษายืนยกฟ้องในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะฟังข้อเท็จจริงต่างกัน ก็ต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กรรมการและเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ลงนามเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งมูลนิธิชินนะปูโตอนุสรณ์ โดยไม่มีอำนาจ จำเลยที่ 2 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ มีคำสั่งอุทธรณ์ของโจทก์โดยไม่มีอำนาจ การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้มูลนิธิได้รับความเสียหาย โจทก์ซึ่งดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในมูลนิธิได้รับความอับอายดูหมิ่นเหยียดหยาม อาจถูกฟ้องร้องค่าเสียหายได้ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485 มาตรา 10,11, 14 พระราชบัญญัติสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2522มาตรา 5, 9, 11 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 83 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงเท่าที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองปฏิบัติหน้าที่และหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายแล้วนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 มิได้มาเบิกความด้วยตนเองมีแต่ผู้รับมอบอำนาจมาเบิกความ คำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจจึงเป็นพยานบอกเล่า ไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ทั้งความเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นความเสียหายที่ไกลเกินคาดคิด โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 ไม่ได้รับความเสียหายจากการที่มูลนิธิชินนะปูโตอนุสรณ์ถูกเพิกถอนใบอนุญาต โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องอันเป็นการวินิจฉัยชั้งน้ำหนักคำพยานว่าพยานบอกเล่ารับฟังไม่ได้ จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นการยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ลงนามในคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งมูลนิธิชินนะปูโตอนุสรณ์ และจำเลยที่ 2 ในฐานะประธานกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ สั่งยกอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 โดยไม่มีเจตนาทุจริต และเหตุผลต่าง ๆ ที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 อ้างอิงในอุทธรณ์ไม่ พอฟังว่าคดีของโจทก์มีมูล จึงเป็นการพิพากษายืนยกฟ้องในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะฟังข้อเท็จจริงต่างกัน ก็ต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์มาเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษาให้ยกฎีกาของโจทก์