แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
อัยการฟ้องจำเลยว่าทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์ในคดีนี้เสียหาย ซึ่งโจทก์คดีนี้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาดังกล่าวด้วย คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อคดีอาญาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง ถึงที่สุดแล้ว ก่อนศาลอุทธรณ์จะพิพากษาคดีนี้ ศาลอุทธรณ์จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา46 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลฎีกาต้องพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์ 4,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า มูลกรณีเดียวกันนี้จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 พิเคราะห์แล้วปรากฏว่าคดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1643/2524 ของศาลจังหวัดอุบลราชธานีเกิดจากมูลกรณีเดียวกัน ในคดีอาญานั้นพนักงานอัยการจังหวัดอุบลราชธานีเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยหาว่าทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์ (คดีนี้) เสียหาย ซึ่งโจทก์คดีนี้ก็เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีอาญาดังกล่าวด้วย ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คดีอาญาดังกล่าวศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2524 โดยวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ไม่มั่นคงพอที่จะสั่งลงโทษจำเลยได้โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2525 คดีส่วนอาญาถึงที่สุดแล้วก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาคดีนี้ ศาลอุทธรณ์จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ