คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2525

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำให้การชั้นสอบสวนของผู้ตายซึ่งถูกยิงที่ให้การไว้ก่อนถึงแก่ความตายเป็นพยานบอกเล่า และมิใช่คำบอกเล่าเมื่อรู้ตัวว่าจะตาย จึงรับฟังได้เป็นเพียงพยานประกอบ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 20 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาเกิดเหตุที่โจทก์ฟ้อง ได้มีคนร้ายใช้ปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าและผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาเพราะพิษบาดแผลที่ถูกยิง คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า จำเลยได้กระทำผิดดังโจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเรื่องนี้ ผู้ตายกลับมาจากเที่ยวงานวัดแต่ลำพัง โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานนำสืบว่าใครเป็นคนยิงผู้ตาย เพราะผู้ตายถึงแก่ความตายเสียก่อนที่จะมาเบิกความต่อศาล คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนซึ่งผู้ตายให้การไว้ก่อนที่จะถึงแก่ความตาย คำให้การชั้นสอบสวนนั้นเป็นพยานบอกเล่าและคำให้การของผู้ตายในคดีนี้ก็มิใช่คำบอกเล่าเมื่อรู้ตัวว่าจะตาย จึงรับฟังได้เป็นเพียงพยานประกอบ ผู้ตายให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่า เมื่อผู้ตายเดินกลับมาถึงบ้านได้พบจำเลยกับนายมุ้ยและชายอีกสองคนยืนอยู่ด้วยกันที่หน้าบ้าน ผู้ตายถามนายมุ้ยว่ามายืนอยู่ทำไม นายมุ้ยไม่ตอบ แต่พูดว่านี่หรืออ้ายตัวสำคัญ พร้อมกับใช้ปืนยิงผู้ตายล้มลง แล้วจำเลยได้กระโดดเตะและเหยียบผู้ตาย กับใช้ปืนยิงผู้ตายซ้ำอีกหลายนัด ผู้ตายจึงใช้ปืนยิงสวนไปแล้วสิ้นสติ นางฟอง ธรรมเกตุ พยานโจทก์ซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายเบิกความว่าเมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้น พยานเปิดประตูบ้านออกไปดู ก็เห็นผู้ตายถูกยิงนอนอยู่ที่พื้นดิน และมีจำเลยถูกระสุนปืนนอนอยู่ห่างผู้ตายประมาณ 1 วาพยานเข้าประคองผู้ตายถามว่า ใครยิง ผู้ตายก็ระบุชื่อจำเลยกับนายมุ้ย นายพิมพ์ จำปีศรี พยานโจทก์อีกปากหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านผู้ตาย ก็เบิกความว่า เมื่อได้ยินเสียงปืนและได้ยินเสียงนางฟองร้องขอความช่วยเหลือ พยานออกจากบ้านมาดู ก็เห็นนางฟองนั่งประคองผู้ตาย และได้ยินผู้ตายบอกนางฟองว่าจำเลยกับนายมุ้ยเป็นคนยิง นางฟองและนายพิมพ์พยานโจทก์ต่างรู้จักจำเลยมาก่อน และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันแต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุอันควรระแวงสงสัยว่าพยานจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยโดยปราศจากความจริง ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าผู้ตายได้ระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนยิงตนจริง ผู้ตายถูกยิงในระยะใกล้ชิด และก่อนถูกยิงได้พูดจากับนายมุ้ยพวกที่มากับจำเลยด้วย ย่อมจะจำหน้าจำเลยได้แม่นยำไม่ผิดตัว ข้อสำคัญก็คือ เมื่อผู้ตายถูกยิงยังได้ใช้ปืนยิงตอบโต้คนที่ยิงตนด้วย ซึ่งปรากฏว่ากระสุนปืนถูกจำเลย จึงไม่มีเหตุอันสมควรสงสัยว่าจำเลยจะไม่ได้ร่วมมากระทำผิดด้วย นอกจากนี้ที่นางฟองเบิกความว่า เห็นจำเลยถูกกระสุนปืนนอนอยู่ห่างผู้ตายประมาณ 1 วา ก็ตรงตามแผนที่สังเขปและบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุของพนักงานสอบสวน ซึ่งปรากฏว่ามีรอยเลือดของผู้ตายและของจำเลยตกกองอยู่ใกล้ ๆ กัน จำเลยเองก็เบิกความรับว่าถูกกระสุนปืน แต่อ้างว่าระหว่างทางที่กลับจากเที่ยวงานวัด จำเลยแวะถ่ายอุจจาระข้างทางพอถ่ายอุจจาระเสร็จลุกขึ้นยืน ทันใดก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด และกระสุนปืนนั้นถูกจำเลยที่ข้างหลังจนล้มลง แต่คำของจำเลยขัดต่อข้อเท็จจริง เพราะถ้าจำเลยถูกยิงขณะแวะถ่ายอุจจาระที่ข้างทาง เหตุใดรอยเลือดที่จำเลยถูกยิงจะมาตกกองอยู่ใกล้กับรอยเลือดของผู้ตาย ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่าเห็นผู้ตายกับนายมุ้ยยืนคุยกันอยู่ พอจำเลยหันหลังกลับก็ถูกผู้ตายยิง จำเลยล้มคว่ำหน้าลง แล้วได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก 5 นัด ไม่ทราบว่าใครยิงใคร จำเลยเองยังได้ร้องเรียกนางฟองภริยาผู้ตายบอกว่าผู้ตายถูกยิงพอนางฟองลงมาจากบ้านจำเลยก็วิ่งหนีเพราะกลัวถูกซ้ำ เนื่องจากจำเลยวิ่งหนีไป เมื่อนายพิมพ์พยานโจทก์มายังที่เกิดเหตุ จึงพบแต่นางฟองนั่งประคองผู้ตายไม่พบจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ตำหนิพยานโจทก์ว่า ถ้านางฟองพยานโจทก์เห็นจำเลยถูกยิงได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ในที่เกิดเหตุจริง เหตุใดจึงไม่จับกุมจำเลยหรือแจ้งให้ชาวบ้านจับกุมจำเลยไว้ทันทีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่านางฟองเป็นหญิงตัวคนเดียว ขณะออกจากบ้านมาดูเหตุการณ์ ก็เห็นเพียงผู้ตายกับจำเลยนอนอยู่ ยังไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตามธรรมดาก็ย่อมจะต้องเข้าไปดูแลสามีของตนก่อน จะให้จับกุมจำเลยก่อนย่อมผิดวิสัย ทั้งจำเลยเองก็มิใช่จะนอนอยู่ให้จับกุม เพราะเมื่อเห็นนางฟองออกมาจากบ้านจำเลยก็วิ่งหนีไปทันที ที่ศาลอุทธรณ์ตำหนิพยานโจทก์อีกข้อหนึ่งว่า ผู้ตายและจำเลยต่างได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ ไม่ได้หลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ แต่คดีนี้หามีอาวุธปืนใด ๆ ตกเป็นพยานหลักฐานอยู่ในที่เกิดเหตุไม่ กรณีจึงไม่น่าจะเป็นความจริงดังที่ผู้ตายให้การไว้ในชั้นสอบสวนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าทั้งผู้ตายและจำเลยต่างได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน ถ้าไม่ถูกยิงด้วยปืนจะได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนได้อย่างไร เหตุเรื่องนี้เกิดเมื่อเวลาประมาณ 4.00 นาฬิกา พนักงานสอบสวนเพิ่งมาตรวจสถานที่เกิดเหตุเมื่อเวลาประมาณ 9.00 นาฬิกา ซึ่งเป็นระยะเวลาห่างกันประมาณ 5 ชั่วโมง ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะมา ก็ปรากฏว่ามีคนมายังที่เกิดเหตุมากมาย อาจจะมีใครหยิบฉวยปืนซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุไปก็ได้ การที่ไม่ได้อาวุธปืนมาเป็นพยานหลักฐานจึงไม่ใช่ข้อพิรุธถึงกับจะไม่รับฟังคำพยานโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันประกอบด้วยเหตุผล พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงดังโจทก์ฟ้อง”

พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share