แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้ออกเช็คในเบื้องต้นก็ต้องถือว่าจำเลยต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้นตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา900 เมื่อจำเลยอ้างว่าออกเช็คโดยไม่มีมูลหนี้ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นเช่นนั้น เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ ต้องรับผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องห้างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการ ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบมาเป็นอันฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ออกเช็คเอกสารหมาย จ.1 ให้โจทก์โจทก์นำไปเข้าบัญชีของตนเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางกะปิ ปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีไม่พอจ่าย ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ 2 ออกเช็คดังกล่าวชำระหนี้โจทก์หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ฝ่ายโจทก์มีตัวโจทก์กับนายธงชัย พึ่งโพธิ์ ซึ่งเข้าหุ้นร่วมถมดินกับโจทก์เป็นพยานเบิกความว่าโจทก์รับจ้างจำเลยที่ 2 ถมดินตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.3 ได้ทำการถมดินงวดแรกเสร็จ เมื่อต้นเดือนเมษายน 2521 และรับเงินไปแล้ว งวดที่ 2 ถมเสร็จเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2521 แต่ยังปรับระดับดินไม่เรียบร้อย จำเลยที่ 2 จ่ายค่าจ้างให้ 300,000 บาท เป็นเงินสด 200,000 บาท กับเช็คเอกสารหมาย จ.1 อีก 100,000 บาท ส่วนที่เหลือ 200,000 บาท จะจ่ายเมื่อปรับระดับดินเรียบร้อย ซึ่งจำเลยที่ 2 เบิกความรับว่าทำสัญญาจ้างโจทก์ให้ถมดินตามเอกสารหมาย จ.3 จริง และจ่ายเงินค่าจ้างงวดแรก 580,000 บาท ให้โจทก์รับไปแล้ว ทั้งเบิกความว่าจำเลยที่ 2 จ่ายค่าจ้างไปแล้วทั้งสิ้นไม่เกิน 800,000 บาท เมื่อเปรียบเทียบผลงานงวดที่ 2 ซึ่งโจทก์ถมดินเต็มแล้วทั้ง 12 ไร่ คงเหลือเพียงปรับระดับดินเท่านั้น ค่าจ้าง 300,000 บาทที่จำเลยที่ 2 จ่ายก็นับว่าพอสมควรแก่งาน น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ออกเช็คเอกสารหมาย จ.1 ให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าถมดิน ที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่าออกเช็คดังกล่าวให้โจทก์ยืม เพื่อขายลดแก่ธนาคารนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่งนั้นไม่ชอบด้วยเหตุผลเพราะเช็คนั้นเป็นเช็คออกให้แก่ผู้ถือ ย่อมโอนไปยังบุคคลภายนอกเพียงด้วยการส่งมอบจำเลยที่ 2 หาได้ให้โจทก์ทำหลักฐานการยืมเช็คไว้ไม่ และเมื่อขายลดเช็คแก่ธนาคารไม่ได้แล้ว จำเลยที่ 2 ก็มิได้เอาเช็คคืนมา แต่ฝากนายสมชายมะหะหมัด ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางกะปิ ไว้โดยไม่มีหลักฐานการฝากเช่นกัน ไม่ปรากฏเหตุผลว่าทำไมถึงต้องฝากไว้ ในเวลาต่อมาจำเลยที่ 2 มิได้สนใจกับเช็คฉบับนั้นอีกเลย เพราะได้ความว่าจำเลยที่ 2 ไปธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางกะปิ และพบนายสมชายหลายครั้ง แต่มิได้ขอเช็คคืน นอกจากนี้พยานจำเลยยังเบิกความแตกต่างกันในเรื่องนำเช็คไปขายลด โดยจำเลยที่ 2 ว่า เมื่อไปถึงธนาคารผู้จัดการไม่อยู่ ได้มอบเช็คไว้แก่นายสมชาย รุ่งขึ้นโทรศัพท์ไปถามได้ความว่าจำนวนเงินในเช็คเกินอำนาจผู้จัดการจะอนุมัติจำเลยที่ 2 จึงบอกฝากเช็คไว้ก่อนจะรับคืนในวันหลัง แต่นายสมชายว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ไปธนาคารด้วยกัน เมื่อนายสมชายบอกว่าเงินตามเช็คเกินอำนาจของผู้จัดการที่จะอนุมัติและบอกปฏิเสธไป โจทก์กับจำเลยที่ 2 บอกฝากเช็คในวันนั้นเอง หาใช่บอกฝากทางโทรศัพท์ในวันรุ่งขึ้นไม่ หากพิเคราะห์คำเบิกความของนายสมชายที่ว่าเมื่อบอกปฏิเสธไม่รับซื้อลดเช็คแล้ว ก็ยังบอกโจทก์และจำเลยที่ 2 ให้รอไปก่อน โดยไม่คืนเช็คแก่บุคคลทั้งสอง การรับฝากเช็คโจทก์กับจำเลยที่ 2 บอกนายสมชายให้เก็บเช็คไว้ที่ธนาคาร และในที่สุดนายสมชายได้คืนเช็คให้โจทก์ซึ่งไม่มีส่วนรับผิดในการชำระเงินตามเช็คเลย พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่านายสมชายรับเช็คจากโจทก์ไว้เป็นประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชี ซึ่งนายสมชายเบิกความรับว่าโจทก์ได้รับอนุมัติให้กู้เบิกเงินเกินบัญชีเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2521 ในวงเงิน 100,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับจำนวนเงินในเช็ค อนึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกเช็ค ในเบื้องต้นก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้น ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 เมื่อจำเลยที่ 2 อ้างว่าออกเช็คโดยไม่มีมูลหนี้ ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นเช่นนั้น แต่จำเลยที่ 2 นำสืบมาไม่น่ารับฟังทั้งพยานก็เบิกความแตกต่างกันดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ออกเช็คเอกสารหมาย จ.1 ให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าถมดินตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ เป็นให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์ 107,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 100,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความสามศาลเป็นเงิน 4,000 บาท”