แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่นายจ้างรับบุคคลใดเข้าทำงานจะเป็นการรับไว้ประจำหรืออยู่ในขั้นทดลองงานก็ตาม ย่อมถือได้ว่าได้มีการรับบุคคลนั้นเพื่อการทำงานของตนแล้ว จึงอยู่ในฐานะลูกจ้างของนายจ้าง
คำให้การพยานในชั้นสอบสวนเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่จะนำมาประกอบการวินิจฉัยในการรับฟังเกี่ยวกับข้อเท็จจริงแห่งพฤติการณ์และการกระทำทั้งหลายได้ ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามไว้โดยเด็ดขาด
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ลูกจ้างและจำเลยที่ 3 ในฐานะนายจ้าง ร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 75,000 บาทกับดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นพนักงานหรือคนงานคนหนึ่งของจำเลยที่ 3 แม้ในชั้นสอบสวนนางสาวเพชรรัตน์ผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 3 จะอ้างว่าเป็นคนงานอยู่ในขั้นทดลองแต่ก็ได้ความว่าได้รับเงินเดือนเป็นค่าจ้างเช่นกัน ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นายจ้างจะรับบุคคลใดเข้าทำงาน จะเป็นการรับไว้ประจำหรืออยู่ในขั้นทดลองงานก็ตาม ย่อมถือได้ว่าได้มีการรับบุคคลนั้น ๆ เพื่อการทำงานของตนแล้ว ส่วนการจะรับไว้เป็นพนักงานหรือคนงานประจำทันทีหรือให้อยู่ในระหว่างทดลองงานนั้น น่าจะเป็นเรื่องและวิธีการปฏิบัติอันเป็นการภายในของตนเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริษัทจำเลยที่ 3 รับจำเลยที่ 1 เพื่อการทำงานของตนไว้แล้ว จำเลยที่ 1 จึงอยู่ในฐานะเป็นพนักงานหรือคนงานอันถือได้ว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ขณะเกิดเหตุ” ฯลฯ
“ส่วนข้อที่ว่า ศาลไม่ควรรับฟังคำให้การพยานบุคคลในชั้นสอบสวนมาเป็นข้อวินิจฉัยฟังว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างนั้น เห็นว่า คำให้การพยานในชั้นสอบสวนเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่จะนำมาประกอบเป็นข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับการรับฟังได้ ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามไว้โดยเด็ดขาด ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ยอมรับฟังคำให้การพยานในชั้นสอบสวนเพื่อนำมาประกอบการวินิจฉัยในการรับฟังเกี่ยวกับข้อเท็จจริงแห่งพฤติการณ์และการกระทำทั้งหลายโดยเห็นว่าเป็นเพียงพยานบอกเล่านั้นหาเป็นการชอบด้วยการพิจารณาว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องร่วมรับผิด ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่าให้บังคับคดีเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท”