คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ตาย ท. เป็นบุตรจำเลยที่ 1 ซึ่งเกิดแต่บุตรสาวของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นภริยาจำเลยที่ 1 ฉะนั้นการที่จะให้ ท. เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 แม้อาจกระทำได้แต่เห็นได้ว่าจะไม่เป็นการรักษาประโยชน์ของทายาทอื่น เพราะ ท. เป็นญาติใกล้ชิดกับโจทก์ซึ่งเป็นปรปักษ์กับจำเลยที่ 1 จึงสมควรให้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลย ที่ 1
ผู้รับให้พูดด่าผู้ให้ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ว่า โคตรพ่อโคตรแม่มึงมาทำไว้หรือเปล่า ปลาร้าทำใส่ไหไว้มึงก็สนุกกินสนุกแดก ข้าวทำใส่ยุ้งไว้ก็กิน ไม่ได้ทำงานทำการ และยังด่าว่าคำอื่น ๆ อีก พร้อมกับขับไล่ผู้ให้ ถ้อยคำดังกล่าวเป็นถ้อยคำในทำนองว่าผู้ให้เป็น คนดีแต่กิน ไม่ทำงานทำการ จึงมิใช่แต่เพียงคำกล่าวที่ไม่สมควรเท่านั้นแต่เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง อันถือได้ว่า เป็นการประพฤติเนรคุณเป็นเหตุให้ผู้ให้เรียกถอนคืนการให้ได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการให้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ในประเด็นเรื่องการเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะนั้น โจทก์ร้องขอให้เรียกนายทองวัตร ชุลีดี บุตรจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ จำเลยที่ 2 คัดค้าน ปรากฏว่านายทองวัตรชุลีดี เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ซึ่งเกิดแก่นางบุตรบุตรสาวโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นภรรยาของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีบุตรด้วยกัน 2 คน ถ้านับเนื่องในความเป็นญาติแล้ว โจทก์กับนายทองวัตรย่อมจะมีความผูกพันกันมากกว่าทายาทอื่นของจำเลยที่ 1 ฉะนั้นการที่จะให้นายทองวัตรเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 นั้น ก็อาจจะทำได้ แต่เห็นได้ว่าจะไม่เป็นการรักษาประโยชน์ของทายาทอื่น เพราะผู้ที่เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่นั้นเป็นญาติใกล้ชิดกับโจทก์ซึ่งเป็นปรปักษ์กับจำเลยที่ 1 ผู้มรณะ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังขึ้น จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้นายทองวัตรเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 เป็นให้นางหนูหล้า ชุลีดี เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1” ฯลฯ

“สำหรับประเด็นตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ประพฤติเนรคุณนั้น ได้ความตามคำเบิกความของตัวโจทก์ว่า วันเกิดเหตุโจทก์อยู่ในบ้านกำลังนึ่งข้าวไม่ทันสุก จำเลยที่ 2 กับสามีกลับมาจากนา ก็มาพูดด่าว่าโคตรพ่อโครตแม่มึงมาทำไว้หรือ ปลาร้าทำใส่ไหไว้มึงก็สนุกกินสนุกแดก ข้าวทำใส่ยุ้งไว้ก็กิน ไม่ได้ทำงานทำการ และยังด่าว่าคำอื่น ๆ อีกพร้อมกับขับไล่” ฯลฯ

“ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 กับสามีได้ด่าว่าโจทก์แล้วปัญหาคงมีว่าจะถึงขั้นเป็นการประพฤติเนรคุณโจทก์หรือไม่ เห็นว่าโจทก์นั้นได้อุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ 2 มาตั้งแต่น้อยคุ้มใหญ่ ถึงแม้โจทก์จะมิใช่มารดาที่แท้จริงของจำเลยที่ 2 แต่ก็เป็นญาติผู้ใหญ่และได้เลี้ยงดูจำเลยมาจนเติบใหญ่เยี่ยงมารดาเลี้ยงบุตร ทรัพย์สินที่พึงอยู่เป็นของตนก็ยกให้จำเลยเป็นสิทธิเสียตั้งแต่ตนมีชีวิต ครั้นเมื่อโจทก์ชราลงไม่อาจทำงานบางอย่างได้ตามวัย จำเลยก็กลับมาด่าว่าด้วยถ้อยคำในทำนองว่าโจทก์เป็นคนดีแต่กินไม่ทำงานการเช่นนี้ เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 มิได้คำนึงถึงคุณในกาลก่อนที่โจทก์ได้มีอยู่ต่อตน ถ้อยคำด่าว่าดังกล่าวจึงมิใช่แต่เพียงคำกล่าวที่ไม่สมควรเท่านั้น แต่เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง อันถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณ เป็นเหตุให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้ได้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ”

Share