แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าอาวาส จำเลยเป็นเจ้าคณะจังหวัด จำเลยได้มีคำสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ตามกฎมหาเถรสมาคม คำสั่งของจำเลยดังกล่าวเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎมหาเถรสมาคม อันเป็นอำนาจของทางฝ่ายศาสนจักรที่จะมีคำสั่งโดยเฉพาะ เมื่อฟ้องโจทก์มิได้อ้างว่าจำเลยปฏิบัติมิชอบอย่างไรหรือมีการกลั่นแกล้งโจทก์ในการออกคำสั่งนั้น ศาลจึงไม่มีอำนาจที่จะไปก้าวก่ายในคำสั่งดังกล่าวได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าอาวาสวัดช่างเหล็ก ตำบลช่างเหล็ก อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำเลยเป็นเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้มีคำสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดช่างเหล็กโดยมิได้มีการสอบสวนก่อน คำสั่งของจำเลยจึงมิชอบด้วยกฎหมายเป็นโมฆะ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของจำเลยและให้โจทก์เป็นเจ้าอาวาสวัดช่างเหล็ก ตำบลช่างเหล็ก อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตามเดิม
จำเลยให้การว่า โจทก์ถูกพระภิกษุในวัดช่างเหล็กและประชาชนกล่าวโทษต่อเจ้าคณะตำบลว่า โจทก์ประพฤติตนไม่สมควรแก่จริยาหลายประการ เจ้าคณะตำบลสอบสวนแล้ว ปรากฏว่าการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์เป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบแตกแยกทั้งทางฝ่ายสงฆ์และประชาชนจนไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ของวัดได้ เกิดความเสียหายแก่คณะสงฆ์อย่างร้ายแรงและโจทก์ก็ไม่อยู่ประจำวัด เจ้าคณะตำบลจึงเสนอต่อเจ้าคณะอำเภอว่าโจทก์หย่อนความสามารถ สมควรให้ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดช่างเหล็ก เจ้าคณะอำเภอบางไทรสอบสวนแล้วมีความเห็นเช่นเดียวกับเจ้าคณะตำบล จึงทำหนังสือเสนอจำเลยให้ถอดถอนโจทก์ จำเลยได้สอบสวนแล้วได้ความจริงตามรายงานของเจ้าคณะอำเภอ จึงได้สั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดช่างเหล็ก เพราะโจทก์ประพฤติผิดจริยาเจ้าอาวาส โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และกฎมหาเถรสมาคม ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้นำสืบว่าตามกฎมหาเถรสมาคมได้กำหนดให้การสอบสวนต้องมีวิธีการอย่างไร ที่จำเลยสอบสวนจากเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ กับยังได้ประชุมคณะสงฆ์พิจารณาเรื่องนี้อีก นับว่าเป็นการสอบสวนอย่างหนึ่ง คำสั่งของจำเลยชอบแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ทราบคำสั่งลงโทษแล้วมิได้ยื่นคำร้องต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปตามระเบียบมหาเถรสมาคมว่าด้วยเรื่องการร้องทุกข์ พ.ศ. 2506 ข้อ 4 และข้อ 5 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ได้อ้างกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2506) ข้อ 33 ซึ่งความในข้อนี้ไม่มีตอนใดบังคับว่าการที่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้เจ้าอาวาสพ้นจากตำแหน่งจะต้องมีการสอบสวนก่อน กรณีที่จำต้องมีการสอบสวนจะต้องเป็นเรื่องที่ให้ปลดหรือถอดถอนเจ้าอาวาสตามความในข้อ 47 และข้อ 48 แห่งกฎมหาเถรสมาคมดังกล่าวคำสั่งของจำเลยจึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ประกอบด้วยกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2506) ในส่วนที่ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนเจ้าอาวาสหรือพระสังฆาธิการ เมื่อปรากฏว่าก่อนที่โจทก์จะพ้นจากตำแหน่งหน้าที่เจ้าอาวาสจนถึงขณะฟ้อง โจทก์ยังคงเป็นพระภิกษุ และตามสภาพแห่งข้อหาคำขอ คำบังคับของโจทก์เป็นกรณีที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ คำสั่งของจำเลยก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และกฎมหาเถรสมาคม อันเป็นอำนาจของทางฝ่ายศาสนจักรที่จะมีคำสั่งได้โดยเฉพาะ เมื่อฟ้องโจทก์มิได้อ้างว่าจำเลยปฏิบัติมิชอบอย่างไรหรือมีการกลั่นแกล้งโจทก์ในการออกคำสั่งนั้น ศาลจึงไม่มีอำนาจที่จะเข้าไปก้าวก่ายในคำสั่งดังกล่าวได้
พิพากษายืน