คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3095/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การบุกรุกเข้าไปในบ้านในเวลากลางคืนแล้วฉุดคร่าผู้เยาว์พาหนีไปเพื่อการอนาจารในลักษณะเป็นการพรากผู้เยาว์ด้วยนั้น มิใช่การกระทำ 3 กรรม เพราะการบุกรุกเข้าไปโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลคือการฉุดคร่าผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารได้กระทำขึ้นในคราวเดียวกัน พร้อมกัน จึงเป็นกรรมเดียวกัน ซึ่งเป็นความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365, 284 กรรมหนึ่ง และเป็นการพรากผู้เยาว์ตาม มาตรา 318 อีกกรรมหนึ่ง

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง, 284, 318, 364, 365, 83 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 90, 276 วรรคสอง จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามมาตรา 83, 276 วรรคสอง จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 20 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 1 กระทำผิดหลายกรรม ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำคุก 20 ปี ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 1 ปี ฐานพรากผู้เยาว์ จำคุก 1 ปี และฐานบุกรุกจำคุก 1 ปี จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุมีคนร้าย 1 คนบุกรุกเข้าไปในบ้านพักของนายผัน สอสมผู้เสียหาย แล้วคนร้ายคนนั้นได้ใช้อาวุธปืนขู่ผู้เสียหายกับเด็กหญิงวิรัตน์บุตรสาวและได้ฉุดคร่าเด็กหญิงวิรัตน์ลงจากบ้านพาไปที่ป่าไผ่ห่างบ้านผู้เสียหาย 300 เมตรซึ่งมีพรรคพวกรออยู่ 2 คน จากนั้นคนร้ายทั้งสามก็บังคับให้เด็กหญิงวิรัตน์นอนลงและช่วยกันถอดเสื้อผ้าแล้วผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่คนละ 1 ครั้ง โดยขณะคนร้ายคนหนึ่งกระทำชำเราอีกสองคนจะจับแขนและขาของเด็กหญิงวิรัตน์ไว้อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ปัญหาว่า จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายร่วมกระทำความผิดตามฟ้องเพียงใดหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้จะเกิดเหตุในเวลากลางคืนและโจทก์มีผู้เสียหายกับเด็กหญิงวิรัตน์เป็นประจักษ์พยานเพียงสองคน และผู้เสียหายรู้เห็นเหตุการณ์เฉพาะในตอนแรก แต่พยานโจทก์ ทั้งสองก็เบิกความสอดคล้องต้องกันไม่มีพิรุธและเชื่อว่าคนร้ายได้พูดขู่กับส่งไฟฉายอยู่เกือบตลอดเวลาด้วยเหตุผลตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้วยิ่งกว่านั้นพยานโจทก์ทั้งสองยังเคยเห็นหน้าคนร้ายบ่อย ๆ และรู้จักมาก่อนทั้งเด็กหญิงวิรัตน์อยู่ใกล้ชิดกับคนร้ายด้วย จึงรับฟังได้ว่า พยานโจทก์ทั้งสองจะต้องเห็นและจำคนร้ายได้ หลังเกิดเหตุเช้าวันนั้นเด็กหญิงวิรัตน์ ก็แจ้งความระบุชื่อจำเลยทั้งสามเป็นคนร้าย และยืนยันว่าจำเลยได้ผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราตนจนสำเร็จความใคร่คนละ 1 ครั้ง ซึ่งเรื่องเช่นนี้หากไม่เป็นความจริงคงไม่กล้าพูดและบอกกล่าวแก่ผู้อื่นเพราะเป็นเรื่องเสื่อมเสียแก่ตัวเองและน่าอับอายขายหน้า ต่อมาแพทย์ตรวจร่างกายเด็กหญิงวิรัตน์และทำรายงานไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 ก็ระบุว่าช่องคลอดหรืออวัยวะเพศมีบาดแผลฉีกขาด ซึ่งจะเกิดจากการถูกข่มขืนกระทำชำเรานั่นเอง ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์จะกลั่นแกล้งหรือปรักปรำจำเลย จำเลยทั้งสามนำสืบอ้างฐานที่อยู่ไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังหักล้างพยานโจทก์ รูปคดีเชื่อว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงวิรัตน์อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงจริง สำหรับเหตุการณ์ตอนแรกที่จำเลยที่ 1 คนเดียวบุกรุกเข้าไปในบ้านพักของผู้เสียหายแล้วได้ฉุดคร่าเด็กหญิงวิรัตน์พาหนีออกไปเพื่อการอนาจารในลักษณะเป็นการพรากผู้เยาว์ด้วยซึ่งศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษเป็น 3 กรรมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่ายังไม่ถูกต้องเพราะรูปคดีเห็นได้ชัดว่า จำเลยที่ 1 บุกรุกเข้าไปโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลคือการฉุดคร่าพาเด็กหญิงวิรัตน์ไปเพื่อการอนาจาร การบุกรุกเข้าไปฉุดคร่าเด็กหญิงวิรัตน์กระทำขึ้นในคราวเดียวกัน พร้อมกัน จึงเป็นกรรมเดียวกัน ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365, 284 กรรมหนึ่ง และเป็นการพรากผู้เยาว์เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 อีกกรรมหนึ่งเทียบได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 214/2524 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดชัยภูมิ โจทก์ นายคำดีหรือโล่ห์ ต่อชีพ จำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่ 398/2520 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดระยอง โจทก์ นายรุ่ง ธรรมยิ่งจำเลย ต้องปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 เสียใหม่

พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดของจำเลยที่ 1 ฐานบุกรุกและพาหญิงไปเพื่อการอนาจารเป็นกรรมเดียว ให้ลงโทษตามมาตรา 28 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 22 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share