แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายมีสิทธิรับมรดกที่โจทก์เลือกฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ที่ผู้ตายยืมเงินโจทก์ โดยไม่ฟ้องทายาทอื่น หาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใดไม่ ทั้งกองมรดกมิใช่บุคคลตามกฎหมายที่จะถูกฟ้องร้องบังคับคดีได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยในฐานะทายาทชำระเงิน 55,000 บาท กับดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเสรี ศิลุจจัย นายเสรีถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 31 พฤศจิกายน 2523 จำเลยซึ่งเป็นภรรยาจึงเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของนายเสรีผู้ตายด้วยผู้หนึ่ง
ที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงยังไม่อาจฟังว่านายเสรีจะได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าฝ่ายโจทก์และนายไพจิตร บัวสายเบิกความว่า นายเสรีไปขอกู้เงินโจทก์ 80,000 บาท ได้ทำสัญญากู้ไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 และออกเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขานครนายกให้ยึดถือเป็นประกัน 1 ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.2 จำเลยคงมีตัวจำเลยเพียงคนเดียวเบิกความปฏิเสธลอย ๆ ว่าไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับการกู้เงินรายนี้ แต่รับว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นลายมือชื่อนายเสรีจริงและรับว่าได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ด้วย ดังนั้น ข้อที่จำเลยปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับการกู้เงินรายนี้จึงไม่น่าเชื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายเสรีได้กู้เงินจากโจทก์ไปจริง
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริตที่เลือกฟ้องจำเลยคนเดียวนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเสรี มีสิทธิได้รับมรดกของนายเสรีผู้ตายด้วยผู้หนึ่งที่โจทก์เลือกฟ้องจำเลยแต่ผู้เดียวโดยไม่ฟ้องทายาทอื่น หาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใดไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดเป็นส่วนตัวก็ดี จำเลยไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่จำเลยจะได้รับก็ดีนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลล่างทั้งสองได้พิพากษาต้องกันมาว่าให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ในฐานะทายาทผู้รับมรดกนายเสรี เท่าจำนวนมรดกที่ตกได้แก่จำเลย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ชอบที่จะเรียกร้องจากกองมรดกนั้น เห็นว่ากองมรดกมิใช่บุคคลตามกฎหมายที่จะถูกฟ้องร้องบังคับคดีได้”
พิพากษายืน