คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1301/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยบอกกับโจทก์ว่าได้แจ้งความไว้แล้ว ถ้าไม่ไปสถานีตำรวจกับจำเลย จำเลยจะนำตำรวจมาจับโจทก์นั้น หาใช่เป็นการที่จำเลยจับโจทก์ดังที่เจ้าพนักงานจับผู้ต้องหาไม่ ไม่เป็นการข่มขู่หน่วงเหนี่ยว กักขัง ทำให้โจทก์ไปไหนไม่ได้ และไม่เป็นการทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกายแต่ประการใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้หน่วงเหนี่ยวบังคับโจทก์ให้ไปสถานีตำรวจเป็นเหตุให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพแก่ร่างกาย และแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าโจทก์ลักเข็มขัดนากของจำเลย ตำรวจได้กักขังจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172, 174 และ 310

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า ข้อหาฐานทำให้ปราศจากเสรีภาพนั้น เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อโจทก์ตามกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการกระทำของจำเลย คำฟ้องฐานนี้ไม่มีมูล ส่วนข้อหาแจ้งความเท็จมีมูลให้ประทับฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว ตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยบอกกับโจทก์ว่า ได้แจ้งความตำรวจไว้แล้ว ถ้าไม่ไปสถานีตำรวจกับจำเลยจำเลยจะนำตำรวจมาจับโจทก์เป็นการกล่าวข่มขู่ขืนใจให้โจทก์กระทำตามความประสงค์ของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์อ้างมาในฎีกาว่า จำเลยแจ้งความไว้แล้ว จะนำตำรวจมาจับโจทก์นั้น หาใช่เป็นการที่จำเลยจับโจทก์ดังที่เจ้าพนักงานจับผู้ต้องหาไม่ ไม่เป็นการข่มขู่ หน่วงเหนี่ยว กักขัง ทำให้โจทก์ไปไหนไม่ได้ และไม่เป็นการทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกายดังที่โจทก์ฟ้องแต่ประการใด ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว

Share