แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คู่กรณีพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินราคา 15,000 บาทศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาล 437.50 บาท เห็นได้ว่าเรียกค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ 17,500 บาท (ราคาที่ดินรวมกับค่าเสียหาย) จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
จำเลยเข้าไปปลูกห้องแถวในที่พิพาทโดยไม่ได้อาศัยสิทธิจากโจทก์แต่อย่างใดเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ถือได้ว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครอง แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกคืนภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันถูกแย่งครอบครอง โจทก์หมดสิทธิฟ้องร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ภริยาจำเลยที่ 2 ได้ขอแบ่งซื้อที่ดินของโจทก์ โดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยทั้งสองจะต้องชำระค่าที่ดินของโจทก์ 15,000 บาท ในเดือนพฤศจิกายน 2505 แล้วจำเลยก็ได้เข้าทำการปลูกสร้างห้องแถวที่ดินของโจทก์ เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน โจทก์ได้ทวงถามเรื่องเงินค่าซื้อที่ดิน จำเลยกลับขอผัดผ่อนไม่สิ้นสุด เป็นการผิดสัญญา โจทก์ได้บอกกล่าวเลิกสัญญากับจำเลย และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้บังคับขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยสู้ว่าไม่เคยขอแบ่งซื้อที่ดินโจทก์ ที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ เป็นที่หวงห้าม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
นายบุญช่วย เขื่อนขันธ์ และนางอนงค์ เขื่อนขันธ์ ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทอยู่ในความครอบครองของโจทก์ การที่จำเลยเข้าปลูกสร้างห้องแถวในที่พิพาทได้ก็เพราะจำเลยที่ 1 ได้ขอซื้อที่นั้นจากโจทก์ แต่แล้วไม่ชำระค่าที่ดินจนโจทก์บอกเลิกไม่ยอมขายที่ดินรายนี้ให้ต่อไป พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่โจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่พิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ตาย นางอนงค์โจทก์ร่วมขอเข้ารับมรดกความ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะประโยชน์ แต่เป็นที่ของโจทก์ครอบครอง จำเลยได้ขอซื้อจากโจทก์จริงพิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คู่กรณีพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินราคา 15,000 บาท ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาล 437.50 บาท เห็นได้ว่าเรียกค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ 17,500 บาท (ราคาที่ดินรวมกับค่าเสียหาย) จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ที่พิพาทยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์ จำเลยเข้าไปปลูกห้องแถวอยู่ในที่พิพาทโดยไม่ได้อาศัยสิทธิโจทก์แต่อย่างใด เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว ถือได้ว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครอง แต่โจทก์ไม่ฟ้องเรียกคืนภายในกำหนด1 ปี นับแต่วันถูกแย่งครอบครอง โจทก์หมดสิทธิฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์