คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1163/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มารดาผู้ร้องยกบ้านให้ผู้ร้องในขณะที่ผู้ร้องอยู่กินกับจำเลยฉันสามีภรรยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ผู้ร้องรื้อบ้านนั้นและขนย้ายเอามาปลูกขึ้นใหม่เป็นบ้านพิพาท ทั้งนี้ได้ใช้จ่ายเงินเป็นค่าซื้อไม้ฝาและสีทาเพิ่มเติม กับค่าตะปูและค่ารื้อถอนขนย้าย รวมทั้งค่าแรงปลูกสร้างด้วย โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นเงินที่ผู้ร้องและจำเลยทำมาหาได้ระหว่างอยู่กินฉันสามีภรรยา และเมื่อปลูกสร้างเสร็จผู้ร้องกับจำเลยก็อยู่ร่วมกันในบ้านพิพาทตลอดมาดังนี้ ถือว่าผู้ร้องและจำเลยเป็นเจ้าของร่วมในบ้านนั้น โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยนำยึดบ้านพิพาทส่วนของจำเลยได้ผู้ร้องมีสิทธิเพียงร้องขอกันส่วนของผู้ร้องเท่านั้นหามีสิทธิร้องขอให้ปล่อยบ้านพิพาทไม่

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระค่าปุ๋ยจำนวน 12,400 บาท พร้อมดอกเบี้ย และค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ โจทก์นำยึดบ้านทรงปั้นหยาเลขที่ 86 หมู่ที่ 4 ตำบลบางงาม อำเภอศรีประจันต์ ราคา 10,000 บาท เพื่อบังคับตามคำพิพากษา ผู้ร้องร้องว่าผู้ร้องเป็นสามีโดยมิชอบด้วยกฎหมายของจำเลย บ้านที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องแต่ผู้เดียวก่อนผู้ร้องได้จำเลยเป็นภรรยา ขอให้ศาลสั่งถอนการยึด

โจทก์ให้การว่าบ้านที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลย หาใช่ของผู้ร้องไม่ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกคำร้องของผู้ร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 300 บาท

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เดิมบ้านพิพาทเป็นของมารดาผู้ร้อง ต่อมามารดาผู้ร้องยกให้ผู้ร้อง ผู้ร้องรื้อบ้านมาปลูกใหม่เมื่อ 5 ปีมานี้ แม้จะได้ซื้อของเพิ่มในการปลูกบ้านใหม่ก็มีจำนวนเล็กน้อย จำเลยเป็นภรรยาไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องบ้านพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกับผู้ร้อง แต่เป็นของผู้ร้องคนเดียวพิพากษากลับให้ปล่อยบ้านพิพาทที่โจทก์นำยึด ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความให้ 600 บาท

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมบิดามารดาผู้ร้องมีบ้านปลูกอยู่ที่ ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ 5 ปีมาแล้วมารดาผู้ร้องยกบ้านดังกล่าวให้ผู้ร้อง ผู้ร้องรื้อมาปลูกขึ้นใหม่ที่ตำบลบางงาม อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี คือบ้านพิพาท ซึ่งขณะนั้นผู้ร้องกับจำเลยอยู่กินฉันสามีภรรยากันมาได้ประมาณ 15 ปีเศษ โดยมิได้จดทะเบียนสมรสแต่ในการปลูกบ้านพิพาทนั้น ได้ซื้อไม้ฝาและสีทาบ้านเพิ่มเติม ซึ่งไม่น่าจะมีราคาเพียงเล็กน้อย และน่าจะมีรายการไม้อื่นอีกรวมทั้งตะปูกับค่ารื้อถอนขนย้ายจากตำบลดอนเจดีย์มาตำบลบางงาม ตลอดค่าแรงงานในการปลูกบ้านพิพาทซึ่งอาจมีจำนวนมากกว่าราคาไม้ของบ้านที่รื้อมาก็ได้ เงินจำนวนที่นำมาใช้จ่ายดังกล่าวผู้ร้องมิได้นำสืบว่าเป็นเงินของผู้อื่น จึงต้องฟังว่าจำเลยเอาเงินที่ทำมาหาได้ระหว่างอยู่กินฉันสามีภรรยามาใช้จ่ายในการปลูกบ้านพิพาท และเมื่อปลูกบ้านพิพาทเสร็จแล้ว ก็ได้ความว่าผู้ร้องกับจำเลยอยู่ด้วยกันในบ้านพิพาทตลอดมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว ผู้ร้องกับจำเลยจึงเป็นเจ้าของร่วมในบ้านพิพาท โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยนำยึดบ้านพิพาทส่วนของจำเลยได้ ผู้ร้องมีสิทธิเพียงร้องขอกันส่วนของผู้ร้องเท่านั้น หามีสิทธิร้องขอให้ปล่อยบ้านพิพาทไม่

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 600 บาท

Share