แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกล่าวในอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นแต่เพียงว่า “จำเลยยอมรับว่ามีจริง แต่เป็นทรัพย์สินของจำเลย แต่ที่ศาลกำหนดเป็นมรดกเพราะไม่มีหลักฐานใดมาสนับสนุน” เท่านั้น และในคำขอท้ายฟ้องอุทธรณ์จำเลยก็มิได้ขอให้ศาลอุทธรณ์บังคับเอาแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นอย่างไร ทั้งในคำแก้ฎีกาของจำเลยได้กล่าวถึงปัญหาที่ว่าจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อนี้ด้วย ดังนั้นจึงเห็นว่าจำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ข้อที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีสิทธิหักหนี้จำนวน 86,000 บาทตามที่จำเลยนำสืบว่าได้กู้ยืมเงินบุคคลอื่นและเอาเงินส่วนตัวบางส่วนของจำเลยชำระหนี้แก่เจ้าหนี้กองมรดกไปนั้นจำเลยมิได้ขอบังคับให้ศาลหักกลบลบหนี้ให้จำเลยหรือโดยการฟ้องแย้งจึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีที่ศาลจะบังคับให้เป็นไปตามที่จำเลยขอหักหนี้ให้ได้ โจทก์ทั้งห้าฟ้องจำเลยขอแบ่งทรัพย์รถยนต์โดยอ้างว่าเป็นมรดกของนายประสิทธิ์ผู้ตาย เมื่อทางพิจารณาได้ความว่ารถยนต์ดังกล่าวนั้นยังมิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายประสิทธิ์เพียงแต่นายประสิทธิ์เช่าซื้อและยังอยู่ในระยะสัญญาเช่าซื้อที่นายประสิทธิ์ยังชำระค่าเช่าซื้อให้ผู้ให้เช่าซื้อไม่หมดมรดกของนายประสิทธิ์เกี่ยวแก่รถยนต์คงมีแต่สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์เท่านั้น โจทก์ทั้งห้าและจำเลยจึงต้องรับไปตามสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าซื้อทั้งหมดที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้นชอบแล้ว มิได้เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นมารดาของนายประสิทธิ์ จูเกี่ยน ผู้ตายโจทก์ที่ 2 ถึงโจทก์ที่ 5 เป็นบุตรนอกกฎหมายของนายประสิทธิ์ ซึ่งเกิดกับนางสุภาพ รอดเสวกแต่นายประสิทธิ์ได้รับรองโดยเปิดเผยและให้ความอุปการะเลี้ยงดูตลอดมาต่อมานายประสิทธิ์ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลย เมื่อนายประสิทธิ์ ถึงแก่กรรม จำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกของนายประสิทธิ์อยู่ ขอให้ศาลบังคับจำเลยแบ่งมรดกให้โจทก์ทั้งห้า
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 เป็นบุคคลหย่อนความสามารถ ส่วนทรัพย์มรดกของนายประสิทธิ์แทบจะไม่มีเหลืออยู่เลย ทั้งขณะนายประสิทธิ์ถึงแก่กรรมนายประสิทธิ์และจำเลยเป็นลูกหนี้ผู้อื่นหลายราย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งสิทธิเช่าซื้อรถยนต์โดยสาร และที่ดิน 1 แปลงพร้อมบ้านให้โจทก์ทั้ง 5 คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งสิทธิในสัญญาเช่าซื้อรถยนต์โดยสารรายการเดียว
โจทก์ทั้งห้าและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น จำเลยกล่าวในอุทธรณ์แต่เพียงว่า “จำเลยยอมรับว่ามีจริงแต่เป็นทรัพย์สินของจำเลย แต่ที่ศาลกำหนดเป็นมรดก เพราะไม่มีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุน” เท่านั้น และในคำขอท้ายอุทธรณ์ จำเลยก็มิได้ขอให้ศาลอุทธรณ์บังคับเอาแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นอย่างไร ทั้งในคำแก้ฎีกาของจำเลยได้กล่าวถึงปัญหาที่ว่าจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อนี้ด้วย ดังนั้นจึงเห็นว่าจำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิหักหนี้จำนวน 86,000 บาท ตามที่จำเลยนำสืบว่าได้กู้ยืมเงินบุคคลอื่น และเอาเงินส่วนตัวบางส่วนของจำเลยชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ไปนั้น เห็นว่าจำเลยได้ให้การไว้เพียงว่า “ขณะที่นายประสิทธิ์สามีถึงแก่กรรมผู้ตายและจำเลยเป็นลูกหนี้ผู้อื่นหลายราย” เท่านั้น มิได้ขอบังคับให้ศาลหักกลบลบหนี้ให้จำเลยหรือโดยการฟ้องแย้ง จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีที่ศาลจะบังคับให้เป็นไปตามที่จำเลยขอหักหนี้ให้ได้
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า สิทธิการเช่าซื้อรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน ตร.01362 ไม่เป็นประเด็นแห่งคดีที่ศาลจะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ทั้งห้าฟ้องจำเลยขอแบ่งทรัพย์รถยนต์ดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นมรดกของนายประสิทธิ์ผู้ตาย เมื่อทางพิจารณาได้ความว่ารถยนต์ดังกล่าวนั้นยังมิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายประสิทธิ์ เพียงแต่นายประสิทธิ์เช่าซื้อและยังอยู่ในระยะสัญญาเช่าซื้อที่นายประสิทธิ์ยังชำระค่าเช่าซื้อให้ผู้ให้เช่าซื้อไม่หมด มรดกของนายประสิทธิ์เกี่ยวแก่รถยนต์นี้คงมีแต่สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์เท่านั้น โจทก์ทั้งห้าและจำเลยจึงต้องรับไปตามสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าซื้อทั้งหมด ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้นชอบแล้ว มิได้เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แบ่งสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์โดยสาร และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น