คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2001/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอคืนของกลางมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ได้ขอถอนไป โดยศาลยังมิได้วินิจฉัยสั่งคำร้องนั้นผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอคืนของกลางรายเดียวกันอีกภายใน 1ปี นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยร่วมกันทำการประมงโดยใช้กระแสไฟฟ้าทำอันตรายแก่ปลา ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และว่ากล่าวจำเลยที่ 2 แล้วปล่อยตัวไป สั่งริบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 1 เครื่อง เรือลำปั้น 1 ลำ เครื่องยนต์เรือ 1 เครื่อง ตะแกรงพร้อมไม้ไผ่ 1 ชุด กาละมัง 1 ใบ ปลาชนิดต่าง ๆ 1 กิโลกรัมเป็นของกลาง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เรือ เครื่องยนต์ เครื่องกำเหนิดไฟฟ้า ของกลางเป็นของผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ขอคืน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอคืนของกลางได้ แต่ฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของทรัพย์ของกลางที่ขอคืนอย่างแท้จริง ให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้คืนแก่ผู้ร้อง โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ผู้ร้องเบิกความว่าได้ให้จำเลยที่ 1ยืมเรือสำปั้นพร้อมเครื่องยนต์เรือและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของกลางไปเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2525 เมื่อจำเลยทั้งสองถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับและยึดของกลางดังกล่าวไป นางทองสุข สังข์น้อย ภริยาจำเลยที่ 1 ก็ได้มาบอกให้ผู้ร้องทราบ จำเลยที่ 1 ก็ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่าของกลางดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง จำเลยที่ 1 ยืมมาขนข้าวที่เกี่ยวแล้วมาบ้าน และปั้นไฟฟ้านวดข้าวในเวลากลางคืนตามเอกสารหมาย ร.1 ที่ผู้ร้องเบิกความว่าที่บ้านจำเลยที่ 1 ก็มีไฟฟ้าใช้ ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าจะมายืมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากผู้ร้องไปใช้นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 อาจมีไฟฟ้าใช้ให้แสงสว่างภายในบ้านไม่ได้เตรียมไว้ใช้ให้แสงสว่างในการนวดข้าว จึงไม่เป็นพิรุธให้ฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ยืมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องทราบว่าทรัพย์ของตนถูกยึดเป็นของกลางก็ได้ไปพบร้อยตำรวจโทสมศักดิ์ จิตติรัตน์พนักงานสอบสวน ร้อยตำรวจโทสมศักดิ์ได้สอบคำให้การผู้ร้องไว้ตามเอกสารหมาย ร.2 แม้ตามคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยที่ 1 ในเอกสารหมาย ร.1 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2525 จะมีสีหมึกพิมพ์และเซ็นชื่อมีคำว่า “นาย” แตกต่างกับคำให้การในวันเดียวกัน และสีหมึกพิมพ์ไปเหมือนกับคำให้การของผู้ร้องตามเอกสารหมาย ร.2 ซึ่งลงวันที่ 20พฤศจิกายน 2525 เป็นเวลาภายหลังกัน 1 เดือน จะว่าเป็นพิรุธให้เห็นว่าได้ทำคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยที่ 1 ขึ้นในภายหลังไม่ได้เพราะร้อยตำรวจโทสมศักดิ์ จิตติรัตน์ พนักงานสอบสวน พยานโจทก์ก็เบิกความรับว่าได้สอบปากคำจำเลยที่ 1 และผู้ร้องไว้ตามเอกสารหมาย ร.1 และ ร.2 จริง ไม่ได้เบิกความว่า ได้พิมพ์วันที่ย้อนหลังไปจากวันที่ได้สอบสวนเพิ่มเติมอย่างใด ร้อยตำรวจโทสมศักดิ์ไม่เชื่อว่าของกลางเป็นของผู้ร้องเพียงเพราะผู้ร้องไม่มีหลักฐานอื่นใดมาแสดงเท่านั้น ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานผู้ร้องได้ เชื่อว่าของกลางที่ผู้ร้องขอคืนเป็นของผู้ร้อง และผู้ร้องให้จำเลยที่ 1 ยืมไปขนข้าวและปั้นไฟนวดข้าวดังที่ผู้ร้องเบิกความ ส่วนปัญหาที่ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองหรือไม่ เมื่อฟังว่าผู้ร้องได้ให้จำเลยที่ 1 ยืมเรือสำบั้นพร้อมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของกลางไปใช้ขนข้าวและบั้นไฟนวดข้าวในเวลากลางคืน ผู้ร้องจึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยทั้งสองจะนำไปกระทำความผิด ที่ผู้ร้องไปขอคืนของกลางกับร้อยตำรวจโทสมศักดิ์ภายหลังได้ทราบว่าทรัพย์ของตนถูกยึดเป็นของกลาง 1 เดือน ก็ไม่เป็นพิรุธอย่างใด จึงฟังได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ที่ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอคืนของกลางมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ได้ขอถอนไปโดยศาลยังมิได้วินิจฉัยสั่งคำร้องนั้นผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอคืนของกลางรายเดียวกันอีกภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดได้ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติห้ามไว้ ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share