คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1980/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมทำสัญญาเช่าห้องพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 แม้โจทก์ร่วมจะเอาไปให้เช่าช่วง เมื่อการเช่าช่วงไม่มีหลักฐานการเช่า ก็ต้องถือว่าโจทก์ร่วมยังเป็นผู้ครอบครองห้องพิพาทนั้นอยู่โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่ากับจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 ถือโอกาสให้ผู้เช่าช่วงอยู่ออกไปจากห้องพิพาทโดยโจทก์ร่วมไม่ทราบแล้วช่วงชิงใส่กุญแจห้องมิให้โจทก์ร่วมเข้าใช้ห้องพิพาท ถือได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ร่วมโดยปกติสุข จำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดฐานบุกรุกตามมาตรา 362 ประมวลกฎหมายอาญา (อ้างฎีกาที่ 1/2512)

ย่อยาว

คดีนี้ อัยการเป็นโจทก์และนางเซ้ง จุลเทศ ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2511 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยได้ร่วมกันเข้าไปในตึกแถวห้องเลขที่ 421/4 อันเป็นอสังหาริมทรัพย์อยู่ในความครอบครองของนางเซ้ง จุลเทศ เพื่อถือการครอบครองนั้นทั้งหมดอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข เหตุเกิดที่ตำบลพญาไท อำเภอพญาไท จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า โจทก์ร่วมเช่าห้องพิพาทจากจำเลยที่ 1 มาแล้วผิดสัญญาเอาไปให้เช่าช่วง จำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาเช่าและให้ผู้เช่าช่วงออกจากห้องพิพาทไปแล้วจึงให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 เข้าไปเฝ้าดูแลรักษาและใส่กุญแจห้องพิพาทไว้ เป็นการกระทำไปโดยเข้าใจว่าตนมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเข้าไปปกปักรักษาทรัพย์สินโดยสุจริต จำเลยที่ 2 ที่ 3 ทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 เพราะเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยที่ 1 มีอำนาจสั่งได้ในฐานะเป็นเจ้าของขาดเจตนาบุกรุก พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์ร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้เช่าห้องพิพาทและยังไม่ได้ส่งมอบคืนแก่จำเลยที่ 1 โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้ครอบครองห้องพิพาทเพื่อใช้ประโยชน์ พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ใส่กุญแจห้องไม่ให้โจทก์ร่วมเข้าไปใช้ประโยชน์ ย่อมเป็นการรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขของโจทก์ร่วมเป็นความผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่มีเจตนาบุกรุก พิพากษาแก้ ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) ให้ปรับ 1,000 บาท นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ร่วมฎีกา ต่อมาขอถอนฎีกา ศาลฎีกาสั่งอนุญาต

จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ร่วมทำสัญญาเช่าห้องพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 แล้วโจทก์ร่วมเอาห้องพิพาทไปให้นางสาวปรียา ภัณฑาทอง เช่าช่วง แต่ในทะเบียนสำมะโนครัวห้องรายนี้ยังมีชื่อนางสาวจันทนีบุตรโจทก์ร่วมเป็นผู้อยู่อาศัย ในระหว่างที่นางสาวปรียาเช่าช่วงอยู่ จำเลยที่ 1 ไปแจ้งต่อนายทะเบียนท้องถิ่นว่าห้องพิพาทว่างขอย้ายเข้าไปเป็นผู้อยู่อาศัยแล้วต่อมาจำเลยที่ 1 ก็บอกเลิกสัญญาเช่าห้องพิพาทรายนี้ไปยังโจทก์ร่วม อ้างว่าเอาไปให้เช่าช่วงโดยไม่ได้รับอนุญาต และแจ้งไปยังนางสาวปรียาให้ออกไปจากห้องเช่าอ้างว่าเลิกสัญญากับโจทก์ร่วมแล้วโจทก์ร่วมตอบไปว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิเลิกสัญญาส่วนนางสาวปรียาว่า จะออกไปเมื่อสิ้นเดือนมกราคม 2511 ครั้นวันที่ 27 มกราคม 2511 เวลา 08.00 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ไปบอกนางสาวปรียาว่าจำเลยจะเข้าอยู่ในห้องพิพาท เมื่อนางสาวปรียากลับจากธุระคืนนั้น 22.00 นาฬิกา ปรากฏว่าเด็กรับใช้ของนางสาวปรียาขนของออกไปไว้ห้องข้าง ๆ และมอบกุญแจให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นคนของจำเลยที่ 1 มานอนเฝ้าห้องพิพาทแล้วใส่กุญแจไว้

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้ครอบครองห้องพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่ากับจำเลยที่ 1 มาแต่ต้น การให้นางสาวปรียาเช่าช่วงต่อก็ไม่มีหลักฐานการเช่าต่อกัน ดังปรากฏตามคำนางสาวปรียาชั้นสอบสวน นางสาวปรียาจึงเป็นแต่ผู้อยู่ในห้องพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ร่วมเท่านั้น โจทก์ร่วมยังเป็นผู้ครอบครองห้องพิพาท หากจำเลยที่ 1 เห็นว่าโจทก์ร่วมทำผิดสัญญาเช่า ไม่มีสิทธิอยู่ในห้องพิพาทต่อไป จำเลยที่ 1 ก็ชอบที่จะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อรักษาสิทธิของตน หามีอำนาจที่จะปิดห้องที่โจทก์ครอบครองโดยพลการไม่ ตามพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ถือโอกาสเลือกใสให้นางสาวปรียาออกจากห้องเช่าโดยโจทก์ร่วมไม่ทราบ แล้วช่วงชิงใส่กุญแจห้องมิให้โจทก์ร่วมเข้าใช้ห้องพิพาทดังกล่าวแล้ว ถือได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ร่วมโดยปกติสุข จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานบุกรุกตามที่โจทก์ฟ้องตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1/2512 ระหว่างนางคุ่น แซ่ปัง โจทก์ นายวิโรจน์ วังตาล จำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยที่ 1

Share