คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ตามมาตรา 249 ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้ และพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสีย ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของตึกแถวเลขที่ 604 ถนนบำรุงเมืองจำเลยเช่าตึกนี้ทำการค้าขายรองเท้า สัญญาเช่าหมดอายุตั้งแต่เดือนมีนาคม 2510 โจทก์บอกเลิกการเช่า จำเลยทราบแล้วไม่ยอมออกและค้างชำระค่าเช่าเดือนมีนาคม 2510 เป็นเงิน 80 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาท และให้ส่งตึกคืนในสภาพเรียบร้อยกับให้ใช้ค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท

จำเลยให้การว่าไม่ได้เช่าจากโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทจำเลยได้เสียค่าตอบแทนในการปลูกตึกแถวที่จำเลยเช่า ผู้ให้เช่าตกลงให้จำเลยเช่า 12 ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม 2501 จำเลยจึงมีสิทธิอยู่จนครบกำหนดเพราะเป็นสัญญาต่างตอบแทนจำเลยเช่าเพื่ออยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน ฯลฯ

ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร กับให้ใช้ค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายตามฟ้อง ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนาย100 บาทแทนโจทก์ด้วย

จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับว่าจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์สั่งรับอุทธรณ์เฉพาะข้อ ค. และ ง. ว่า เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แล้วพิพากษายืน

จำเลยฎีกาในปัญหา 2 ข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

ปัญหาแรก คือ ห้องพิพาทเป็นเคหะหรือไม่ ศาลชั้นต้นฟังว่าห้องพิพาทอยู่ในทำเลการค้า และจำเลยเช่าเพื่อทำการค้า ซึ่งศาลอุทธรณ์ถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 และเห็นว่าห้องพิพาทไม่เป็นเคหะที่จะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน จำเลยฎีกาว่าใช้ห้องพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยและให้บุตรประกอบการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ แสดงว่าใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ ควรฟังว่าห้องพิพาทเป็นเคหะ ฎีกาของจำเลยดังนี้จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 495-500/2508 ส่วนในปัญหาหลังที่จำเลยฎีกาว่า นายสง่าได้รับเงินค่าตอบแทน 30,000 บาทไว้แล้ว และตกลงจะให้จำเลยเช่า 12 ปีนั้น ศาลชั้นต้นฟังว่าไม่มีหลักฐานว่านายสง่าได้รับเงิน 30,000 บาทจากจำเลย และไม่มีสัญญาเป็นหลักฐานมาแสดง จึงไม่เป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังตามและเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีก

แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาทั้ง 2 ข้อนี้มาก็เป็นการวินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 และเมื่อเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น กับให้จำเลยใช้ค่าทนายชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์ 200 บาท

Share