คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 827/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยด้วยเรื่องหุ้นส่วนเลี้ยงและขายไก่แบ่งปันกำไรกันขอให้พิพากษาบังคับจำเลยใช้ทุนคืนและจ่ายผลกำไร ทางพิจารณาข้อเท็จจริงฟังได้ไม่ใช่เรื่องเข้าหุ้นส่วน เป็นเรื่องจำเลยซื้อสินค้าเชื่อค้างชำระกันอยู่ พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อให้โจทก์ ย่อมเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น
เมื่อพฤติการณ์ที่จำเลยไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานให้ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ จำเลยได้กระทำไปโดยเชื่อว่าตนมีสิทธิและใช้สิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย และยังไม่ได้ความว่าจำเลยจงใจแกล้งให้โจทก์เสียหาย กรณียังไม่เป็นละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420

ย่อยาว

คดี 2 สำนวนนี้พิจารณาพิพากษารวมกัน

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยตกลงเข้าหุ้นเลี้ยงไก่และขายไก่ร่วมกัน เพื่อแบ่งปันผลกำไรแก่กัน จำเลยผิดสัญญาเข้าหุ้นส่วนจึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยใช้เงินทุนค่าอาหารไก่ ยารักษาโรคไก่ที่ยังขาดและค่าลูกไก่ เป็นเงิน 10,029.10 บาท และจ่ายผลกำไรส่วนของโจทก์ 3,990.42 บาท กับดอกเบี้ยในเงินดังกล่าวร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,051.46 บาท และจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยมีข้อตกลงเข้าหุ้นส่วนเลี้ยงไก่และขายไก่เพื่อแบ่งปันผลกำไร จำเลยเคยแต่ซื้อสินค้าจำพวกอาหารไก่ซึ่งจำเลยผ่อนชำระเงินที่ติดค้างไปหมดแล้ว มูลคดีเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1103/2509 ซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง

สำนวนที่ 2 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้นำความอันรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนกล่าวหาว่าโจทก์ยักยอกทรัพย์ไก่ที่จำเลยออกทุนซื้อให้โจทก์เลี้ยงเพื่อขายแบ่งกำไร จนโจทก์ถูกพนักงานตำรวจจับกุมกักขัง ถูกฟ้องต่อศาลและศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นการละเมิดโจทก์ ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 47,633 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า จำเลยแจ้งความดังกล่าวโดยมีหลักฐานว่าโจทก์กระทำการให้จำเลยเสียหาย เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายจำเลยจึงไม่ได้ทำละเมิดโจทก์

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วไม่เชื่อว่าโจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนกัน จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในเรื่องใช้ทุนและใช้กำไรคืน การกระทำของจำเลยในสำนวนที่ 2 ไม่เป็นละเมิด พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้ง 2 สำนวน ค่าธรรมเนียม ค่าทนายความเป็นพับ

โจทก์ทั้งสองสำนวนต่างอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ไม่ใช่การเข้าหุ้นส่วน แต่เป็นเรื่องจำเลยซื้อเชื่ออาหารไก่และยารักษาโรคไก่จากโจทก์และยังไม่ชำระค้างอยู่อีก 5,456.00 บาท ซึ่งจำเลยสำนวนแรกต้องรับผิด สำนวนที่ 2 เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้น พิพากษาแก้ให้จำเลยสำนวนแรกชำระเงิน 5,456 บาทให้โจทก์และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันที่ 29 ตุลาคม 2508 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้เสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลเท่าที่โจทก์ชนะคดี กับค่าทนายความ 200 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนที่สองฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ในสำนวนแรกไม่ฎีกา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยไม่ใช่หุ้นส่วนกัน แต่เป็นเรื่องจำเลยซื้อเชื่ออาหารไก่และยารักษาโรคไก่ไปจากโจทก์

นายสุวรรณฎีกาว่า นางสาววิจิตราได้ฟ้องนายสุวรรณเรื่องหุ้นส่วนโดยว่านางสาววิจิตราเป็นผู้ออกทุนจัดซื้อลูกไก่ อาหารไก่และยารักษาโรคไก่ ส่วนนายสุวรรณเป็นผู้จัดสถานที่เลี้ยงและนำลูกไก่ไปเลี้ยง ขอให้ศาลพิพากษาบังคับนายสุวรรณใช้ทุนคืนและจ่ายผลกำไรส่วนของนางสาววิจิตราให้นางสาววิจิตรฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นายสุวรรณชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อ 4,456.10 บาท ให้นางสาววิจิตรานั้น จึงเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นายสุวรรณชำระราคาค่าซื้อสินค้าที่ค้างชำระเป็นการนอกฟ้อง ชอบที่จะดำเนินคดีกันต่างหากจากคดีนี้ ฎีกานายสุวรรณข้อนี้ฟังขึ้น

ส่วนที่นายสุวรรณฎีกาว่า การที่โจทก์ไปแจ้งความหาว่าจำเลยยักยอกนั้น เป็นการแจ้งความเท็จเป็นละเมิดนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าหลังจากนายสุวรรณติดต่อซื้ออาหารไก่ ยารักษาโรคไก่ และสินค้าอื่นจากร้านนางสาววิจิตราหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2508 ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2508 นางสาววิจิตราได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหาว่านายสุวรรณยักยอกไก่ที่เข้าหุ้นส่วนกันเลี้ยงไปขายเป็นประโยชน์ส่วนตัว ต่อมาพนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ฟ้องนายสุวรรณเป็นจำเลยในคดีอาญาหาว่ายักยอกทรัพย์ ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอฟังว่าไก่ที่จำเลยเลี้ยงเป็นของผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีถึงที่สุด นายสุวรรณจึงฟ้องนางสาววิจิตราเป็นคดีแพ่งหาว่าละเมิดคดีนี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์เห็นว่า ตามพฤติการณ์ที่นางสาววิจิตราไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานให้ดำเนินคดีแก่นายสุวรรณนั้น นางสาววิจิตรากระทำโดยเชื่อว่าตนมีสิทธิและใช้สิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย ข้อเท็จจริงยังไม่ได้ความว่านางสาววิจิตราจงใจแกล้งให้นายสุวรรณเสียหายยังไม่เป็นละเมิด ฎีกานายสุวรรณข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้เฉพาะคดีที่นางสาววิจิตราเป็นโจทก์ เป็นให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับไปทั้งสองสำนวนนอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ไม่ตัดสิทธินางสาววิจิตราที่จะฟ้องเรียกราคาค่าซื้อสินค้าจากนายสุวรรณใหม่

Share