คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 240/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มิได้รับข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างว่า ล. ผิดสัญญากับจำเลยร่วมโดยทำการก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา จำเลยร่วมจึงได้บอกเลิกสัญญาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย
โจทก์เช่าตึกพิพาทจาก ล. โดยให้โจทก์มีสิทธิให้เช่าช่วงได้จำเลยเช่าช่วงตึกแถวจากโจทก์ จำเลยค้างชำระค่าเช่า โจทก์จึงฟ้องขับไล่และให้จำเลยชำระค่าเช่า จำเลยให้การว่าตึกพิพาทเป็นของกระทรวงการคลังกระทรวงการคลังให้ ล. สร้างแล้วยกให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังให้ล. เช่า ล. ก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา กระทรวงการคลังจึงบอกเลิกสัญญาล. จึงหมดสิทธิที่จะเช่าอาคารพิพาท ดังนี้ ไม่ใช่เรื่องที่บุคคลหลายคนเรียกร้องเอาอสังหาริมทรัพย์อันเดียวกันอาศัยมูลสัญญาเช่าต่างราย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 543

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าช่วงตึกแถวเลขที่ 286/19 และ 286/20 จากโจทก์ซึ่งโจทก์ได้เช่ามาจากนายเลี่ยนเป้า ครบกำหนดเช่าแล้ว จำเลยค้างค่าเช่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2509 ถึงวันฟ้อง เป็นเงิน 12,000 บาทขอให้ขับไล่จำเลยและชำระค่าเช่าที่ค้าง และค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากห้องพิพาท

จำเลยให้การว่า ตึกแถวพิพาทเป็นของกระทรวงการคลังกระทรวงการคลังได้ทำสัญญาให้นายเลี่ยนเป้าสร้างตึกแถวนี้ขึ้นในที่ดินราชพัสดุแล้วยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังให้นายเลี่ยนเป้า แซ่อาว เช่ามีกำหนด 20 ปี ต่อมานายเลี่ยนเป้าก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา กระทรวงการคลังจึงบอกเลิกสัญญา นายเลี่ยนเป้าจึงหมดสิทธิที่จะเช่าอาคารพิพาทต่อไป จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์จริงเพราะจำเลยสำคัญผิดในตัวผู้เป็นเจ้าของ ต่อมาจำเลยทราบว่าตึกพิพาทเป็นของกระทรวงการคลัง จำเลยจึงได้ทำสัญญาเช่ากับกระทรวงการคลังมีกำหนด 3 ปี

จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกกระทรวงการคลังเข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต

กระทรวงการคลังจำเลยร่วมไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ศาลชั้นต้นจึงสั่งขาดนัดยื่นคำให้การ

ก่อนวันชี้สองสถาน โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยและผู้แทนของจำเลยร่วมได้สมคบกันทำการโดยไม่สุจริต ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วม

จำเลยให้การแก้ฟ้องเพิ่มเติมโจทก์ว่า จำเลยทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับกระทรวงการคลังโดยสุจริตและเปิดเผย

ส่วนจำเลยร่วมซึ่งศาลชั้นต้นสั่งขาดนัดยื่นคำให้การแล้วยื่นคำให้การแก้ฟ้องเพิ่มเติมว่าตึกแถวดังกล่าวเป็นของจำเลยร่วมนายเลี่ยนเป้าผิดสัญญา จำเลยร่วมจึงได้บอกเลิกสัญญา นางเลี่ยนเป้าจึงไม่มีสิทธิเช่าตึกพิพาทและไม่มีสิทธินำไปให้โจทก์เช่า

ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การจำเลยร่วมเฉพาะคำให้การแก้ข้อหาเพิ่มเติมฟ้องโจทก์

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า นายเลี่ยนเป้าผิดสัญญาที่ทำไว้กับจำเลยร่วม เพราะก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา จำเลยร่วมจึงบอกเลิกสัญญาและริบอาคาร โจทก์ก็ย่อมหมดสิทธิในห้องพิพาทด้วยพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่า 1,000 บาทให้โจทก์ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่า นายเลี่ยนเป้าผิดสัญญากับจำเลยร่วมโดยทำการก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา จำเลยร่วมจึงได้บอกเลิกสัญญาแล้ว นายเลี่ยนเป้าย่อมไม่มีสิทธิที่จะเกี่ยวข้องกับตึกพิพาทนั้น ก็เป็นการฟังตามข้อต่อสู้ของจำเลย ซึ่งโจทก์มิได้รับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ประการใด แม้ศาลจังหวัดอุดรธานีจะพิพากษาคดีที่นายเลี่ยนเป้าเป็นโจทก์ฟ้องกระทรวงการคลังว่าตึกแถว 40 ห้อง (ซึ่งรวมทั้งห้องพิพาทในคดีนี้ด้วย) ได้ตกเป็นของกระทรวงการคลังจำเลยโดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย นายเลี่ยนเป้าไม่มีสิทธิเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่คดีก็ยังไม่ถึงที่สุดทั้งโจทก์ยังฎีกาว่าคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลจังหวัดอุดรธานีว่านายเลี่ยนเป้ามีสิทธิเช่าห้องจากกระทรวงการคลังฉะนั้น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่จะวินิจฉัยในเรื่องนายเลี่ยนเป้าผิดสัญญากับกระทรวงการคลัง และโจทก์หมดสิทธิในตึกพิพาทหรือไม่ ตามที่ศาลชั้นต้นฟังมา จึงไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย กรณีไม่ใช่เป็นเรื่องที่บุคคลหลายคนเรียกร้องเอาอสังหาริมทรัพย์อันเดียวกันอาศัยมูลสัญญาเช่าต่างราย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 543 ดังที่ศาลชั้นต้นอ้าง เพราะจำเลยเข้าครอบครองตึกพิพาทในชั้นแรกก็โดยอาศัยสิทธิการเช่าจากโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ข้อ 3 (ข) ประกอบกับมาตรา 247 คดีจึงจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share