คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1069/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานภายหลังกำหนดเวลาโดยอ้างว่าหลงลืมนั้น เป็นคำแก้ตัวที่ยากจะรับฟัง เมื่อกฎหมายได้กำหนดหน้าที่ของคู่ความในการระบุอ้างพยานไว้โดยชัดเจน เช่นนี้ จะยกเรื่องประโยชน์แห่งความยุติธรรมมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย หาควรไม่เพราะความยุติธรรมนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อคู่ความทั้งสองฝ่าย มิใช่เพื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว จึงไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลย

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนด 2 แปลงเป็นที่ดินอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีอาณาเขตติดต่อกัน ที่ดินนี้ได้เกิดที่งอกริมตลิ่งขึ้น จำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าไปปลูกโรงเรือนในที่งอกนี้บางส่วน เนื้อที่ประมาณ 12 ตารางวา และขัดขวางมิให้โจทก์นำเจ้าพนักงานรังวัดออกโฉนดที่งอกรายนี้ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไป ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การและจำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งว่า ที่งอกตามโจทก์ฟ้องบิดามารดาจำเลยได้ครอบครองโดยสงบและเปิดเผยมาเป็นเวลาประมาณ30 – 40 ปีแล้ว ครั้นเมื่อบิดามารดาตาย จำเลยก็ได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวสืบต่อมาเป็นเวลาติดต่อกันถึง 15 ปีเศษ ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ และพิพากษาว่าที่งอกริมตลิ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 กับมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดออกโฉนดให้จำเลยที่ 2 ด้วย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า บิดามารดาจำเลยเคยเช่าที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งจากเจ้าของเดิม ส่วนอีกแปลงหนึ่งนั้นบิดามารดาจำเลยมิได้เข้ายุ่งเกี่ยวด้วยเลย เมื่อบิดามารดาตาย จำเลยก็มิได้มาเกี่ยวข้องกับที่ดินทั้งสองแปลงนี้ จำเลยเพิ่งบุกรุกเข้ามาปลูกบ้านในที่งอกรายพิพาทเมื่อ 4 – 5 ปีมานี้เอง โจทก์ซื้อที่ดินตามโฉนดโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิแล้วที่งอกจึงตกเป็นของโจทก์ตามกฎหมาย

ศาลชั้นต้นสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทขึ้นเมื่อทำแผนที่แล้วศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อนกำหนดสืบพยานจำเลยวันที่ 27 ตุลาคม 2510 เวลา 8.30 นาฬิกา

วันที่ 25 ตุลาคม 2510 จำเลยจึงยื่นบัญชีระบุพยานโดยมีคำร้องแสดงเหตุผลของทนายจำเลยประกอบว่า ตัวจำเลยเพิ่งทำรายชื่อพยานมาให้ทนายเมื่อวันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2510 ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ ครั้นวันที่ 24 ตุลาคม 2510 ซึ่งเป็นวันเปิดทำงาน ทนายจำเลยก็ติดภาระที่ศาลตลอดวัน จึงทำให้ทนายจำเลยหลงลืมไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนด ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องนี้ว่าจะพิจารณาสั่งในวันนัด

ถึงวันนัด ทนายจำเลยแถลงขอเลื่อนคดีอ้างว่าป่วย ทนายโจทก์แถลงคัดค้านว่า ที่จำเลยขอเลื่อนก็เพราะไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนด จึงขอคัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลย และสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาต่อไปว่าได้ตรวจคำฟ้องคำให้การ และคำให้การแก้ฟ้องแย้งแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นต้องฟังพยานอื่นใดของโจทก์อีก จึงให้งดสืบพยานโจทก์

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อจำเลยไม่มีพยานมาสืบพิสูจน์ ก็ต้องยกฟ้องแย้งของจำเลยเสีย สำหรับฟ้องของโจทก์ โจทก์ไม่ได้บรรยายวันเวลาที่หาว่าจำเลยบุกรุกถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยเสียทั้งสองฝ่าย

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยมิได้ให้การโต้แย้งว่าฟ้อง โจทก์เคลือบคลุมและปัญหาที่ว่าเคลือบคลุมหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยเรื่องการยื่นบัญชีระบุพยานนั้น เห็นว่าเป็นเพราะทนายจำเลยหลงลืมซึ่งย่อมเกิดได้แก่บุคคลเป็นธรรมดา จำเลยมิได้เอารัดเอาเปรียบในการดำเนินคดีแต่ประการใด เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เห็นสมควรอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานได้พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้น ให้รับบัญชีระบุพยานของจำเลยไว้ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปตามประเด็นในฟ้องและฟ้องแย้งแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ฎีกาว่า ไม่ควรรับบัญชีระบุพยานของจำเลยไว้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นได้นัดดูแผนที่พิพาทและกำหนดหน้าที่นำสืบเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2510 ซึ่งเป็นเวลาก่อนวันนัดสืบพยานนัดแรกถึง 1 เดือน กับ 9 วัน จำเลยเพิ่งมายื่นบัญชีระบุพยานในวันที่ 25 ตุลาคม 2510 ก่อนวันนัดเพียง 2 วัน โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะตัวจำเลยเพิ่งทำรายชื่อพยานมาให้ทนายจำเลยเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2510 ซึ่งเป็นวันเสาร์หยุดราชการศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้แต่งตั้งทนายความไว้ตั้งแต่แรกที่ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งทนายจำเลยได้รู้กำหนดวันสืบพยานอยู่แล้ว เมื่อจำเลยไม่นำรายชื่อพยานมาให้ทนายจำเลยก็น่าจะได้ขวนขวายติดตามเพื่อให้ได้มาซึ่งรายชื่อของพยาน แต่ทนายจำเลยก็มิได้กระทำเช่นนั้น ข้ออ้างที่ว่าหลงลืมนั้นเป็นคำแก้ตัวง่าย ๆ ยากที่จะรับฟังเมื่อกฎหมายได้กำหนดหน้าที่ของคู่ความในการระบุอ้างพยานไว้โดยชัดเจนแล้วเช่นนี้ จะยกเรื่องประโยชน์แห่งความยุติธรรมมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยหาควรไม่ เพราะความยุติธรรมนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายมิใช่เพื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว พิพากษาแก้เป็นว่าไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share