คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3768/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะเป็นข้าราชการทหาร ได้รับเงินเดือนจากทางราชการ แต่เมื่อโจทก์ทำงานให้กับองค์การเชื้อเพลิงและได้รับเงินเดือนจากองค์การเชื้อเพลิงด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่องค์การเชื้อเพลิงเพื่อรับค่าจ้าง โจทก์จึงเป็นลูกจ้างขององค์การเชื้อเพลิง ตามความหมายแห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16เมษายน 2515 ข้อ 2
การกล่าวหาว่านายจ้างเอาความเท็จมาฟ้องลูกจ้างทำให้ลูกจ้างเสียหายนั้นแม้จะเป็นการกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ก็มิใช่เป็นคดีอันเกิดจากมูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 8(5) และไม่ใช่เรื่องอื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ในข้ออื่นๆ แห่งมาตราเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำขององค์การเชื้อเพลิง ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขาย เมื่อวันที่ 7 มีนาคม2517 องค์การเชื้อเพลิงกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิดและขณะที่การสอบสวนความผิดของโจทก์ยังไม่เสร็จสิ้นเป็นการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรม เมื่อเลิกจ้างโจทก์แล้วองค์การเชื้อเพลิงได้แกล้งเอาความอันเป็นเท็จ ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องทำให้องค์การเชื้อเพลิงได้รับความเสียหาย ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดการที่องค์การเชื้อเพลิงเลิกจ้างและฟ้องโจทก์ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงได้รับความเสียหาย จำเลยในฐานะเป็นผู้รับโอนองค์การเชื้อเพลิงไปเป็นของจำเลยตามพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2521 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย เงินที่ต้องจ่ายในกรณีไม่บอกกล่าวเลิกการจ้างล่วงหน้า ค่าจ้างระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 6 มีนาคม 2517โบนัสปี พ.ศ. 2516 และ 2517 เงินสะสมและบำเหน็จรวม192,368.82 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 7 มีนาคม 2517 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 100,312.41 บาท ค่าเสียหาย 491,016.59 บาท และโบนัสพิเศษสำหรับปี พ.ศ. 2517 เป็นเงิน 5,200 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีสำหรับเงินจำนวน 192,368.82 บาท และจำนวน 491,016.95 บาท นับแต่วันฟ้องและสำหรับรับเงินจำนวน 5,200 บาท ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 จนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์มิใช่ลูกจ้างขององค์การเชื้อเพลิง โจทก์เป็นข้าราชการทหาร สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม ไปช่วยปฏิบัติงานในองค์การเชื้อเพลิงตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา โจทก์ยังคงเป็นข้าราชการทหารและได้รับเงินเดือนจากกระทรวงกลาโหมตลอดมา เงินเดือนที่องค์การเชื้อเพลิงจ่ายให้โจทก์นั้น เป็นการตอบแทนการช่วยปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรี และจ่ายให้เพียงครึ่งหนึ่งของอัตราในตำแหน่งที่ดำรงอยู่ ผู้บังคับบัญชาของโจทก์เรียกโจทก์กลับไปประจำที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม องค์การเชื้อเพลิงจึงให้โจทก์ออกจากงานเพื่อให้โจทก์ไปประจำที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมถือไม่ได้ว่าองค์การเชื้อเพลิงเลิกจ้างโจทก์หรือทำละเมิดต่อโจทก์และโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเพราะโจทก์ยังคงรับราชการทหารอยู่ต่อไปจนครบเกษียณอายุ องค์การเชื้อเพลิงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเงินที่ต้องจ่ายในกรณีไม่บอกกล่าวเลิกการจ้างล่วงหน้า ค่าเสียหายและโบนัสพิเศษสำหรับปี พ.ศ. 2517 เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับส่วนเงินเดือนระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 6 มีนาคม 2517 โบนัสสำหรับปี พ.ศ. 2516 และ พ.ศ. 2517 เงินสะสมและเงินบำเหน็จได้จ่ายให้โจทก์แล้วพร้อมดอกเบี้ย ขอให้พิพากษายกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า องค์การเชื้อเพลิงเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยและเงินในกรณีไม่บอกกล่าวเลิกการจ้างล่วงหน้าให้โจทก์ ส่วนค่าเสียหายเป็นการฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 49 ซึ่งใช้บังคับภายหลังการเลิกจ้าง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นผู้รับโอนกิจการทรัพย์สิน หนี้สินขององค์การเชื้อเพลิงจึงต้องรับผิดต่อโจทก์สำหรับเงินดังกล่าวข้างต้น พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินในกรณีไม่บอกกล่าวเลิกการจ้างล่วงหน้า 8,500บาท กับค่าชดเชย 51,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีมีกำหนด 5 ปีให้โจทก์ คำขออื่นให้ยก

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ตามข้อ 2 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน2515 ได้ให้นิยามคำว่า “ลูกจ้าง” ไว้ว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้างไม่ว่าจะเป็นผู้รับค่าจ้างด้วยตนเองหรือไม่ก็ตามและหมายความรวมถึงลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราวด้วยโดยมีข้อยกเว้นเพียงประการเดียวว่าไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานเกี่ยวกับงานบ้าน โจทก์ทำงานตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขายองค์การเชื้อเพลิงได้รับเงินเดือนเดือนละ 8,500 บาท โจทก์จึงเป็นผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่องค์การเชื้อเพลิงเพื่อรับค่าจ้าง โจทก์จึงเป็นลูกจ้างขององค์การเชื้อเพลิงตามคำนิยามดังกล่าว การที่โจทก์เป็นข้าราชการทหาร ได้รับเงินเดือนจากทางราชการและถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตลอดเวลาที่ปฏิบัติงานอยู่ในองค์การเชื้อเพลิงและองค์การเชื้อเพลิงมิได้ทำหนังสือสัญญาจ้างโจทก์นั้น ไม่เป็นเหตุให้ถือว่าโจทก์มิใช่ลูกจ้างขององค์การเชื้อเพลิง เพราะไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่เป็นลูกจ้างตามคำนิยามดังกล่าวข้างต้น โจทก์จึงเป็นลูกจ้างขององค์การเชื้อเพลิง

ส่วนการกล่าวหาว่าองค์การเชื้อเพลิงแกล้งเอาความเท็จมาฟ้องร้องโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายนั้น แม้จะเป็นการกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่องก็มิใช่เป็นคดีอันเกิดจากมูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 8(5) และไม่ใช่เรื่องอื่น ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในข้ออื่น ๆ แห่งมาตราเดียวกัน ศาลแรงงานกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาฟ้องโจทก์ข้อนี้

พิพากษายืน

Share