คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นโรคจิตประสาทอย่างอ่อน มีอาการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ สามารถรักษาให้หายได้ และผู้ที่เป็นโรคนี้สามารถแต่งงานได้ จำเลยเคยพาโจทก์ออกไปเที่ยวนอกบ้านทั้งในเวลาก่อนและหลังหมั้นและกว่าโจทก์จำเลยจะแต่งงานกันก็เป็นเวลาภายหลังหมั้นถึง 5 เดือนเศษ เมื่อจำเลยแต่งงานและอยู่กินกับโจทก์เป็นเวลา 3 เดือนเศษแล้วจำเลยปฏิเสธไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเหตุที่ไม่มีการสมรสนั้นมีเหตุผลสำคัญอันเกิดแต่โจทก์ โจทก์จึงไม่ต้องคืนของหมั้น
โจทก์ฟ้องเรียกของหมั้นที่จำเลยเก็บไว้จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเพราะคดีขาดอายุความตามกฎหมาย โดยมิได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความมาด้วยนั้นเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นในเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2516 จำเลยได้ทำการหมั้นกับโจทก์และมอบแหวนหมั้นราคา 60,000 บาทให้แก่โจทก์เป็นของหมั้น กับตกลงกันว่าจะทำการจดทะเบียนสมรสในวันที่ 25 มิถุนายน 2516 ซึ่งเป็นวันเลี้ยงฉลองสมรส โจทก์จำเลยอยู่กินฉันสามีภรรยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสและจำเลยเป็นผู้เก็บแหวนหมั้น โจทก์เตือนให้จำเลยไปจดทะเบียนสมรสหลายครั้งจำเลยบิดพลิ้วเรื่อยมา อยู่กินฉันสามีภรรยานานประมาณ 5 เดือน จำเลยก็ไม่ยอมจดทะเบียนสมรส โจทก์จึงออกจากบ้านจำเลยไปอยู่บ้านโจทก์ กับเรียกร้องให้จำเลยคืนแหวนหมั้นแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยส่งแหวนหมั้นคืน ถ้าคืนไม่ได้ให้ชำระเงิน 60,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง เพราะคดีขาดอายุความตามกฎหมาย จำเลยไม่เคยทำการหมั้นกับโจทก์เพราะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แม้จะฟังว่าจำเลยทำการหมั้นกับโจทก์ จำเลยก็ไม่สามารถสมรสกับโจทก์เพราะโจทก์เป็นโรคจิตอย่างร้ายแรง โจทก์จึงต้องคืนแหวนหมั้นให้จำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบแหวนหมั้นแก่โจทก์ หากไม่สามารถส่งมอบได้ให้ชำระราคาแหวนเป็นเงิน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นโรคจิตประสาทอย่างอ่อน มีอาการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ สามารถรักษาให้หายได้และผู้ที่เป็นโรคดังกล่าวสามารถแต่งงานได้ก่อนและหลังหมั้นกันนั้นจำเลยเคยพาโจทก์ออกไปเที่ยวนอกบ้าน เห็นว่า การที่จำเลยพาโจทก์ไปเที่ยวนอกบ้านทั้งในระยะเวลาก่อนหมั้นและหลังหมั้น ทั้งกว่าจำเลยจะแต่งงานกับโจทก์ก็เป็นเวลาภายหลังหมั้นนานถึง 5 เดือนเศษ ก่อนแต่งงานจำเลยย่อมทราบดีพอสมควรว่าโจทก์มีนิสัย อารมณ์ และความประพฤติอย่างไร ประกอบกับโรคของโจทก์ไม่เป็นอุปสรรคในการแต่งงาน สามารถรักษาให้หายได้และพูดคุยกับผู้อื่นรู้เรื่อง เมื่อจำเลยแต่งงานและอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์เป็นเวลา 3 เดือนเศษแล้วจะอ้างนิสัย อารมณ์ และความประพฤติของโจทก์มาปฏิเสธไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ ย่อมไม่มีเหตุผล พฤติการณ์ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเหตุที่ไม่มีการสมรสมีเหตุผลสำคัญอันเกิดแต่โจทก์ โจทก์ไม่ต้องคืนแหวนหมั้น

ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1447 นั้น วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง บัญญัติว่า “ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น” คดีนี้จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเพราะคดีขาดอายุความตามกฎหมาย แต่จำเลยหาได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความมาด้วยไม่จึงไม่มีประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่

ประเด็นอื่นที่ฎีกาไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายืน

Share