แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สิทธิเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา มิใช่เป็นสิทธิเฉพาะตัว ย่อมตกทอดแก่ทายาท ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกมีสิทธิขอดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้
จำเลยฎีกาว่าโจทก์ถึงแก่กรรมก่อนศาลมีคำพิพากษา ผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกความแทนโจทก์ ผู้ร้องไม่มีสิทธิเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ อันเป็นฎีกาทำนองเดียวกับในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ทนายโจทก์และทนายจำเลยฟังโดยไม่ทราบเรื่องโจทก์ถึงแก่ความตาย คำพิพากษาศาลฎีกามีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของโจทก์มีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ ฎีกาของจำเลยจึงมิใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยขายที่นาซึ่งโจทก์เช่ามาจากเจ้าของเดิมให้แก่โจทก์โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ทนายโจทก์และทนายจำเลยฟัง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2523
นายแล อิ่มแสง ยื่นคำร้องลงวันที่ 14 มกราคม 2524 อ้างว่า โจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2523 ขอเข้ารับมรดกความเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วไม่มีคดีที่ผู้ร้องจะขอเข้ารับมรดกความ ให้ยกคำร้อง
ต่อมาวันที่ 26 พฤษภาคม 2524 นายแล อิ่มแสง ผู้ร้องยื่นคำแถลงอ้างว่า โจทก์ผู้เป็นบิดาได้ถึงแก่กรรม ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ ขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์วางไว้ต่อศาลคืนและขอให้ออกคำบังคับเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไป ศาลชั้นต้นจึงออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา
จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านว่า สิทธิและหน้าที่ของทนายโจทก์สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่โจทก์ถึงแก่กรรม การที่ทนายโจทก์เป็นผู้ฟังการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และก่อนศาลมีคำพิพากษาผู้จัดการมรดกของโจทก์มิได้ขอเข้ารับมรดกความแทนโจทก์ จึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ใด ๆเกี่ยวกับคดีนี้ สิทธิการซื้อที่นาพิพาทคืนจากจำเลยตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ผู้เช่านาไม่ตกทอดไปยังทายาท ผู้จัดการมรดกของโจทก์ไม่มีสิทธิของบังคับคดีแทนโจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า สิทธิในการซื้อที่นาคืนเป็นสิทธิในทรัพย์สินเป็นมรดก ผู้จัดการมรดกของโจทก์ขอบังคับคดีได้ ให้ยกคำร้องคัดค้านของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สิทธิของโจทก์ในคดีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา มิใช่เป็นการขอซื้อที่นาพิพาทคืนโดยอาศัยสิทธิตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 ดังข้อกล่าวอ้างของจำเลย จึงมิใช่สิทธิเฉพาะตัว ย่อมตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 และ 1600 ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์มีสิทธิขอดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ ส่วนฎีกาของจำเลยอีกข้อหนึ่งที่ว่าตัวโจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2523 ก่อนศาลมีคำพิพากษาผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกความแทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ผู้ร้องไม่มีสิทธิเข้ามาเกี่ยวข้องคดีนี้อันเป็นฎีกาทำนองเดียวกับในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา ศาลฎีกาให้ทนายโจทก์และทนายจำเลยฟังในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2523 โดยไม่ทราบเรื่องโจทก์ถึงแก่ความตาย คำพิพากษาศาลฎีกามีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของโจทก์มีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน