คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2195/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมออกจากที่ดิน จำเลยและจำเลยร่วมต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของตนจึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ และจำเลยทุกสำนวนได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คู่ความย่อมมีสิทธิ์อุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224, 248
ที่พิพาทแปลงใหญ่เป็นของวัดโจทก์ แม้ที่พิพาทบางแปลงจะมีโฉนดที่ดินมีชื่อจำเลยและจำเลยร่วมในโฉนด จำเลยและจำเลยร่วมก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ของวัดโจทก์ไม่ เพราะที่วัดจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ และบุคคลใดจะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัดหาได้ไม่ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 34

ย่อยาว

คดีทั้งสิบสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งให้พิจารณาและพิพากษารวมกันโจทก์ฟ้องทั้งสิบสองสำนวนทำนองเดียวกันว่า วัดเขาไกรลาศโจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินหนึ่งแปลงคือที่พิพาทคดีนี้ เมื่อประมาณ พ.ศ. 2499 จำเลยทั้งสิบสองสำนวนขออาศัยปลูกบ้านในที่ดินที่โจทก์ครอบครอง ต่อมา พ.ศ. 2517จำเลยทุกคนต่างได้นำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินที่จำเลยขออาศัยดังกล่าวอ้างว่าเป็นของจำเลยแต่ละคน โจทก์ไปคัดค้าน ทางราชการจึงไม่ออกโฉนดให้จำเลยทั้งสิบสอง ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสิบสองและบริวารออกจากที่ดินโจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยทั้งสิบสองสำนวนให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์มีเพียงสิทธิอาศัยอยู่บนที่ดินเนินเขาอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่มีสิทธิใด ๆ ในการออกเอกสารสิทธิครอบครองหรือโฉนดอย่างใด จำเลยทั้งสิบสองอาศัยอยู่ในที่พิพาทอันเป็นที่สาธารณะเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทางราชการอนุญาตให้ปลูกสร้างบ้านเรือนในที่พิพาทและออกเลขทะเบียนบ้านให้โดยชอบ ต่อมาพวกจำเลยขอออกโฉนดที่ดินเป็นของตน ทางราชการนำโฉนดมาแจกให้จำเลยกับพวกแล้วแต่ผู้แทนโจทก์มาคัดค้าน ทางราชการจึงไม่แจกโฉนดให้ ความจริงแล้วที่ดินที่จำเลยครอบครองเป็นที่ดินมีโฉนดหาใช่ที่ดินของโจทก์ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย โจทก์ชอบที่จะฟ้องทางราชการเพิกถอนการออกโฉนด หากที่ดินเป็นของโจทก์จริง โจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง

ก่อนสืบพยาน ผู้ร้องทั้งสิบหกคนร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย จำเลยร่วมและบริวารออกจากที่พิพาทและให้ใช้ค่าเสียหาย

จำเลยทั้งสิบสองและจำเลยร่วมทั้งสิบหกร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว ให้รับฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 และที่ 11ที่ 12 จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 16

จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่าคดีทุกสำนวนเป็นคดีมีทุนทรัพย์อย่างสูงไม่เกิน 20,000 บาท และเรียกร้องค่าเสียหายไม่เกิน2,000 บาทต่อเดือน คดีต้องห้ามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงวินิจฉัยคดีนี้ไม่ชอบศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมออกจากที่ดิน จำเลยและจำเลยร่วมต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของตน จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์และจำเลยทุกสำนวนได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์คู่ความย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224, 248 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518มาตรา 3, 6

จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายอีกข้อหนึ่งว่าจำเลยและจำเลยร่วมบางคนได้รับโฉนดที่ดินในที่พิพาทไปแล้ว ต้องถือว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่ออกจากที่ดินของผู้มีกรรมสิทธิ์จึงไม่ชอบศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นที่วัดเขาไกรลาศ ฉะนั้น แม้ที่พิพาทบางแปลงจะมีโฉนดที่ดินเป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ จำเลยและจำเลยร่วมก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ของวัดโจทก์ไม่ เพราะที่วัดจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติและบุคคลใดจะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัดก็ไม่ได้ด้วย ดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505มาตรา 34

พิพากษายืน

Share