คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3218/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย และยื่นคำร้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราว เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราวแล้ว โจทก์ก็เป็นผู้ติดตามแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการเรียกทรัพย์สินของลูกหนี้ผู้เป็นจำเลยจากกองบังคับคดีแพ่งมารวบรวมไว้ในคดีล้มละลาย ต่อมาโจทก์ถอนฟ้อง ซึ่งศาลอนุญาตและจำหน่ายคดีไปแล้ว บรรดากิจการที่ได้ดำเนินมาย่อมต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม เงินจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับมาก็ต้องคืนให้กองบังคับคดีแพ่ง และถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายที่จะนำมาใช้จ่ายได้ โจทก์จึงต้องเป็นผู้รับผิดในค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินกระบวนพิจารณาของโจทก์เองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 155 แต่การคิดค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน เมื่อเงินที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับมาต้องส่งคืนไป ไม่มีการจำหน่ายจึงต้องคิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละสามครึ่งของราคาทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 179(3)

ย่อยาว

คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราวแล้วภายหลังโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องและขอให้มีคำสั่งถอนการพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ ให้จำหน่ายคดี และได้แจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบระหว่างที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวอยู่นั้นโจทก์ได้ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งให้กองบังคับคดีแพ่งโอนเงินของจำเลยที่ 1 ในคดีแพ่งที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของบุคคลภายนอกมาไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลยคดีล้มละลายนี้กองบังคับคดีแพ่งได้ส่งเงินในคดีแพ่งดังกล่าวหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วเป็นเงิน 638,327 บาทมายังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ครั้นเมื่อศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีนี้แล้วโจทก์ได้แถลงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ส่งเงินที่ได้รับคืนกองบังคับคดีแพ่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งเงินจำนวน 638,327 บาทคืนกองบังคับคดีแพ่งและเรียกค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินในอัตราร้อยละห้าของยอดเงิน 638,327 บาท เป็นเงิน 31,916.45 บาทจากโจทก์ โจทก์จึงยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลว่า ค่าธรรมเนียมนั้นควรคิดหักจากจำนวนเงินที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะส่งคืนไว้ก่อน เพราะค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน ต้องหักจากทรัพย์สินที่รวบรวมได้และเงินจำนวนที่ส่งคืนกองบังคับคดีแพ่งกองบังคับคดีแพ่งจะเป็นผู้คิดหักค่าธรรมเนียมจากเงินจำนวนนี้เอง การเรียกให้โจทก์ชำระอีก เป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสองครั้งจากยอดเงินจำนวนเดียวกันเป็นการไม่ชอบ ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่เรียกค่าธรรมเนียมจากโจทก์

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ปัญหาว่า ค่าธรรมเนียมในการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับโอนเงินของจำเลยมาในระหว่างมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราว แล้วส่งคืนไปเนื่องจากโจทก์ถอนฟ้องนั้น จะเรียกเก็บจากโจทก์หรือจากจำนวนเงินที่ได้รับโอนมา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราว เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวแล้ว โจทก์ก็เป็นผู้ติดต่อแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการเรียกทรัพย์สินของลูกหนี้ผู้เป็นจำเลยจากกองบังคับคดีแพ่งมารวบรวมไว้ในคดีล้มละลายต่อมาโจทก์ถอนฟ้องคดีนี้ซึ่งศาลอนุญาตและจำหน่ายคดีไปแล้วการดำเนินกระบวนพิจารณาต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการกระทำของโจทก์ผู้เดียว บรรดากิจการที่ได้ดำเนินมาย่อมต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม เงินจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับไปก็ต้องคืนให้กองบังคับคดีแพ่งและถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายที่จะนำมาใช้จ่ายได้ ดังนี้ โจทก์จึงต้องเป็นผู้รับผิดในค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินกระบวนพิจารณาของโจทก์เองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 155 เช่นที่โจทก์ได้ชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่โจทก์อ้างว่าพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179(3) ตามที่แก้ไขโดยพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2511 มาตรา 11 แสดงแจ้งชัดว่า ค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน ให้คิดจากกองทรัพย์สินของจำเลยนั้น ก็เห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวเพียงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เท่านั้น มิได้มีข้อความดังที่โจทก์อ้าง และเมื่อค่าธรรมเนียมกรณีนี้จะคิดจากทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับมาไม่ได้การให้โจทก์รับผิดจึงมิใช่เป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากเงินจำนวนเดียวกันซ้อนอีกดังที่โจทก์เข้าใจแต่การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินโดยคิดในอัตราร้อยละห้าของเงินที่รวบรวมได้ยังไม่ถูกต้อง เพราะตามมาตรา 179(3) นั้นบัญญัติว่า สำหรับทรัพย์สินที่ไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้คิดในอัตราร้อยละสามครึ่งของราคาทรัพย์สินนั้น เมื่อเงินที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับมาต้องส่งคืนไป ไม่มีการจำหน่าย จึงต้องคืนค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละสามครึ่งจากยอดเงิน 638,327 บาท เป็นเงินค่าธรรมเนียม 22,341.44 บาท

พิพากษาแก้ เป็นให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพยืเป็นเงิน 22,341.44 บาท

Share