คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1249/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์จากจำเลย อ้างว่ามีข้อตกลงตามบันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนหย่าศาลพิพากษาว่าบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายรับผิดไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีใหม่เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์จากจำเลยอ้างว่าจำเลยมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1536 ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
มารดาในฐานะส่วนตัว ไม่มีสิทธิเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์จากบิดาของบุตร จนกว่าจะได้ร้องขอต่อศาลให้ถอนบิดาจากการเป็นผู้ปกครองเสียก่อน โดยขอตั้งมารดาผู้เป็นโจทก์เป็นผู้ปกครองใหม่ แล้วจึงจะใช้สิทธิเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์จากบิดาของบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1536 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อเด็กชายขจรเดช ต่อมาโจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่ากัน และตกลงให้โจทก์เลี้ยงดูบุตรจำเลยจะให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูและการศึกษาของบุตรเดือนละ 300 บาท จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ จำเลยส่งเงินให้โจทก์สามเดือนแรกแล้วเงียบเฉยจำเลยมีหน้าที่ให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1536 โจทก์ติดใจเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหนึ่งปีก่อนฟ้องเพียงเดือนละ 200 บาทขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงิน 2,400 บาท และใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดู ค่าการศึกษาเดือนละ 300 บาท จนกว่าเด็กชายขจรเดชจะบรรลุนิติภาวะ

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงจะให้ค่าเลี้ยงดูเด็กชายขจรเดชเดือนละ 300 บาท โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าเลี้ยงดูเด็กชายขจรเดชที่ศาลจังหวัดศรีสะเกษ ศาลจังหวัดศรีสะเกษและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดโจทก์ฟ้องคดีนี้อีกเป็นฟ้องซ้ำโจทก์ในฐานะส่วนตัว ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้ำ และโจทก์ในฐานะส่วนตัวไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีแพ่งของศาลจังหวัดศรีสะเกษหมายเลขแดงที่ 115/2510 โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายขจรเดช อ้างว่ามีข้อตกลงตามบันทึกหลังทะเบียนหย่า เมื่อศาลจังหวัดศรีสะเกษวินิจฉัยว่าข้อตกลงนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายจะต้องรับผิดใช้เงินค่าอุปการะเลี้ยงดูไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้ แล้วพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงมาฟ้องเรื่องนี้อ้างว่าจำเลยมีหน้าที่จะต้องเลี้ยงดูเด็กชายขจรเดช ร่วมกับโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1536 เช่นนี้ เห็นว่าข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการเรียกร้องให้จำเลยใช้เงินค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายขจรเดชในคดีเรื่องก่อนกับในคดีเรื่องนี้ต่างกัน และประเด็นที่ศาลจังหวัดศรีสะเกษได้วินิจฉัยในคดีเรื่องก่อนเป็นเรื่องความรับผิดของจำเลยตามข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลย แต่ประเด็นซึ่งจะต้องวินิจฉัยในคดีเรื่องนี้เป็นเรื่องหน้าที่ของบิดามารดาต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่เด็กชายขจรเดช เมื่อประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยมิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน โจทก์ฟ้องในคดีเรื่องนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

แต่ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัว และไม่ปรากฏในทางพิจารณาว่าได้มีการเปลี่ยนตัวผู้ปกครองเด็กชายขจรเดชจากจำเลยมาเป็นโจทก์โดยถูกต้องตามกฎหมาย อำนาจปกครองยังอยู่ที่จำเลยโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรจากจำเลยจนกว่าจะได้ร้องต่อศาลขอให้ถอนจำเลยจากการเป็นผู้ปกครองเสียก่อน โดยขอตั้งโจทก์เป็นผู้ปกครอง แล้วจึงใช้สิทธิเรียกค่าเลี้ยงดูเด็กชายขจรเดชจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1536 ได้ (อ้างฎีกาที่ 669/2506)

พิพากษายืน

Share