คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารที่บุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่กระทำได้ ได้ทำขึ้นนั้น แม้ข้อความในเอกสารนั้นจะไม่ตรงกับความจริง ก็หาเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารไม่
จำเลยไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ยักยอกทรัพย์ จนโจทก์ถูกพนักงานสอบสวนกักขัง ก็เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจว่าจะกักขังโจทก์หรือไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 รู้อยู่ว่ามิได้มีการกระทำผิดเกิดขึ้นบังอาจแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา แก่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางกอกน้อย ว่าโจทก์ทั้งสองมีเจตนาทุจริตเอาทรัพย์สินของมัสยิดกุฎีหลวงไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว และจำเลยทั้งสองได้สมคบกันทำบัญชีศาสนสมบัติของมัสยิดกุฎีหลวงซึ่งเป็นเอกสารสิทธิทางราชการปลอมขึ้นทั้งฉบับแล้วจำเลยที่ 1 ได้ใช้เอกสารดังกล่าวส่งอ้างเป็นพยานต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าโจทก์ทั้งสองได้สมคบกันกระทำความผิดฐานยักยอกจริง เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองถูกตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางกอกน้อยจับตัวไปคุมขังไว้ ทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174, 179, 264, 265, 266, 268, 310, 83

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้อง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ทรัพย์พิพาทอันเป็นมูลแห่งคดียังชี้ขาดไม่ได้ว่าเป็นของฝ่ายใดแน่คดีจึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานแจ้งความเท็จ โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยทำการปลอมบัญชีศาสนสมบัติของมัสยิด เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่จำเลยทั้งสองมีอำนาจทำขึ้นเองได้แม้จะมีข้อความไม่จริง ก็ไม่เป็นการปลอมเอกสารและการที่โจทก์ต้องถูกตำรวจจับไปควบคุมก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนจะเห็นสมควร ไม่ใช่ผลโดยตรงต่อการแจ้งความของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาต่อมา ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นต้องห้ามมิให้ฎีกา โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ในข้อหาฐานทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม กับในข้อหาฐานทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของโจทก์ในข้อหาฐานทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม นั้น ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ตามทางพิจารณาคงได้ความว่าบัญชีทรัพย์สินที่อ้างว่าจำเลยทำปลอมขึ้นนั้น เป็นการทำเอกสารในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่จะทำได้ในฐานะที่เป็นกรรมการมัสยิด ไม่ปรากฏว่าเป็นการทำเอกสารปลอมหรือเลียนแบบเอกสารที่แท้จริงฉบับใด ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารที่บุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่กระทำได้ได้ทำขึ้นนั้นแม้ข้อความในเอกสารนั้นจะไม่ตรงกับความจริง ก็หาเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 ไม่ เทียบตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1141/2494 ระหว่าง อัยการ กรมอัยการ โจทก์นายอุดม เกษมทรัพย์ กับพวก จำเลย และเมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดฐานปลอมเอกสารดังกล่าวแล้ว ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ส่วนข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 179 ที่โจทก์ฟ้องมาด้วยนั้น โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวไว้ในชั้นศาลอุทธรณ์ โจทก์เพิ่งมากล่าวอ้างขึ้นในชั้นฎีกานี้เอง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยสำหรับข้อหาฐานทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 นั้นแม้จะฟังได้ว่าจำเลยไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ยักยอกทรัพย์ และโจทก์ถูกพนักงานสอบสวนกักขังก็ตามก็เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจว่าจะกักขังโจทก์หรือไม่จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานนี้ เทียบตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 27/2486 ระหว่าง นายหมู บุญเป็ง โจทก์ นายอักษร สุระพิพิธ จำเลย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share