คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3560/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และความผิดฐานจำหน่ายกัญชาเป็นความผิดต่างฐานกัน การที่โจทก์แยกฟ้องเป็นข้อ ก. และข้อ ข. ก็เห็นเจตนาของโจทก์ได้ว่าขอให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ย่อมหมายความว่ารับว่าได้กระทำผิดทั้งสองกรรม ซึ่งเป็นความผิดต่างฐานกันตามฟ้อง จึงต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2525 เวลากลางวัน ก. จำเลยมีกัญชาจำนวน 6 แท่งหนัก 6.72 กรัม ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายให้กับผู้อื่นโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ข. ตามวันเวลาดังกล่าวภายหลังจากจำเลยได้กระทำผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ ก. จำเลยได้จำหน่ายกัญชาให้แก่ผู้มีชื่อที่เข้าล่อซื้อไปจำนวน 1 แท่งอันเป็นยาเสพติดให้โทษส่วนหนึ่งที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7, 8, 26, 75, 76, 102, 103ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 58 ริบกัญชาของกลาง คืนธนบัตรที่ล่อซื้อและบวกโทษจำคุกที่รอไว้ในคดีก่อน

จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเคยต้องโทษและรอการลงโทษไว้จริง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 7, 8, 26, 75, 76, 102, 103 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 58 ลงโทษจำคุกและบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนของกลางริบธนบัตรคืนเจ้าของ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายกัญชา ลงโทษจำคุกและบวกโทษจำคุกที่รอไว้ในคดีก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องเป็น 2 ตอน ข้อ ก. บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 จำนวน 6 แท่ง หนัก 6.72 กรัมไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายให้กับผู้อื่นโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และข้อ ข.บรรยายฟ้องว่าตามวันเวลาดังกล่าวแล้วภายหลังจากจำเลยได้กระทำผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ ก. จำเลยได้จำหน่ายกัญชาให้แก่ผู้มีชื่อที่เข้าล่อซื้อไปจำนวน 1 แท่งราคา 10 บาท อันเป็นยาเสพติดให้โทษส่วนหนึ่งที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายดังกล่าวในข้อ ก. โดยฝ่าฝืนกฎหมายความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและความผิดฐานจำหน่ายกัญชาเป็นความผิดต่างฐานกัน การที่โจทก์แยกฟ้องเป็นข้อ ก. และข้อ ข. ก็เห็นเจตนาของโจทก็ได้ว่า ขอให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ย่อมหมายความว่ารับว่าได้กระทำผิดทั้ง 2 กรรมซึ่งเป็นความผิดต่างฐานกันตามฟ้องจึงต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป

พิพากษายืน

Share