แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนกฎหมายได้คำนึงถึงลักษณะและประเภทกิจการของนายจ้างว่าลูกจ้างมีการเสี่ยงภัยที่จะได้รับอันตรายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างมากน้อยเพียงใด จึงได้กำหนดรหัสประเภทของกิจการนั้นไว้ว่าจะต้องจ่ายเงินสมทบในอัตราร้อยละเท่าใดของค่าจ้างไว้ อันเป็นการกำหนดอัตราเงินสมทบกลางไว้เป็นหลักตามสมควรแก่กิจการนั้น ๆไว้เป็นการทั่วไปเสียก่อน ถ้าอัตราการสูญเสียลดลงกฎหมายจะลดอัตราเงินสมทบให้ และอัตราเงินสมทบจะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราส่วนการสูญเสียสูงขึ้น ดังนั้นการลดหรือเพิ่มจึงต้องคำนวณโดยถืออัตราเงินสมทบกลางหรืออัตราเงินสมทบหลักตามที่ตารางที่ 1กำหนดไว้เป็นฐานคำนวณ มิใช่ถือเอาอัตราลด/เพิ่ม ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเป็นฐานคำนวณ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ประกอบกิจการก่อสร้างตามหมวด 1300 รหัส 1301ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนร้อยละ 3 ซึ่งโจทก์ได้จ่ายให้แก่สำนักงานแรงงานจังหวัดนนทบุรีตลอดมา เมื่อ พ.ศ. 2523 กองทุนเงินทดแทนสำนักงานแรงงานจังหวัดนนทบุรีได้ลดอัตราเงินสมทบให้โจทก์จ่ายร้อยละ1.5 ของค่าจ้าง ต่อมาเมื่อเดือนมกราคม 2526 กองทุนเงินทดแทน สำนักงานแรงงานจังหวัดนนทบุรีได้มีคำสั่งแจ้งให้โจทก์จ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6 ของค่าจ้างซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการเพิ่มหรือลดเงินสมทบจะต้องนำอัตราเงินสมทบเดิมที่เคยเสียมาเป็นฐานคำนวณซึ่งโจทก์ต้องจ่ายเงินสมทบเพียงอัตราร้อยละ 3 เท่านั้น โจทก์จึงอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนวินิจฉัยว่าคำสั่งของกองทุนเงินทดแทน สำนักงานแรงงานจังหวัดนนทบุรีชอบแล้ว ขอให้พิพากษาให้โจทก์จ่ายเงินสมทบในอัตราร้อยละ 3 และบังคับให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระเกินไปแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า เนื่องจากอัตราส่วนการสูญเสียของโจทก์สูงขึ้นโจทก์จึงต้องเพิ่มอัตราเงินสมทบอีกร้อยละ 100 โดยคำนวณจากอัตราเงินสมทบหลักคืออัตราร้อยละ 3 ตามตารางที่ 1 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราและวิธีเรียกเก็บเงินสมทบการจ่ายเงินทดแทนของสำนักงานกองทุนเงินทดแทน และการอุทธรณ์มิใช่เพิ่มจากร้อยละ 1.5 ดังที่โจทก์ฟ้อง คำสั่งของกองทุนเงินทดแทนสำนักงานแรงงานจังหวัดนนทบุรีและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าการเพิ่มอัตราเงินสมทบร้อยละ 100 ของอัตราเงินสมทบตามที่ตารางที่ 2 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง อัตราและวิธีเรียกเก็บเงินสมทบการจ่ายเงินทดแทน และการอุทธรณ์ ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2516 กำหนดไว้จะเพิ่มจากอัตราเงินสมทบตามตารางที่ 1 หรือเพิ่มจากเงินสมทบอัตราร้อยละ 1.5 ที่โจทก์จ่ายจริงนั้น พิเคราะห์ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราและวิธีเรียกเก็บเงินสมทบการจ่ายเงินทดแทนของสำนักงานกองทุนเงินทดแทน และการอุทธรณ์ ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2516 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศดังกล่าว ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2517ข้อ 2, 3 ตารางที่ 1 และตารางที่ 2 ท้ายประกาศดังกล่าวแล้ว เห็นได้ว่าการที่นายจ้างต้องจ่ายสมทบนั้นกฎหมายได้คำนึงลักษณะและประเภทกิจการของนายจ้างว่าลูกจ้างมีการเสี่ยงภัยที่จะได้รับอันตรายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างมากน้อยเพียงใดจึงได้กำหนดรหัสประเภทของกิจการนั้น ๆ ไว้ว่าจะต้องจ่ายเงินสมทบในอัตราร้อยละเท่าใดของค่าจ้างไว้ อันเป็นการกำหนดอัตราเงินสมทบกลางไว้เป็นหลักตามสมควรแก่กิจการนั้น ๆ ไว้เป็นการทั่วไปเสียก่อน แต่ถ้าอัตราการสูญเสียลดลงกฎหมายจะลดอัตราเงินสมทบให้ และอัตราเงินสมทบจะเพิ่มขึ้น เมื่ออัตราส่วนการสูญเสียสูงขึ้น ดังนั้น การลดหรือเพิ่มจึงต้องคำนวณโดยถือเอาอัตราเงินสมทบกลางหรืออัตราเงินสมทบหลักเป็นฐานคำนวณ มิใช่ถือเอาอัตราลด/เพิ่ม ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเป็นฐานคำนวณ ความทั้งสิ้นที่กล่าวมาจะเห็นได้ชัดตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 3 ที่ว่า ‘……ให้จ่ายเงินสมทบตามตารางที่ 1 ในปีถัดไปลดหรือเพิ่มอัตราเงินสมทบตามอัตราส่วนการสูญเสียของนายจ้าง…….’ ทั้งนี้โดยให้ถือ ‘…. ตามตารางที่ 2 ท้ายประกาศนี้ …..’ เป็นหลักเกณฑ์ประกอบการจ่าย ดังนั้นอัตราเงินสมทบที่นายจ้างจะต้องจ่ายลดหรือเพิ่มจึงต้องเป็นอัตราตามที่ตารางที่ 1 กำหนดไว้เท่านั้น จะเป็นอัตราอื่นใดหาได้ไม่
พิพากษายืน