คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ชาวไร่หรือที่เรียกว่าสมาชิกผู้รับการส่งเสริมจะรับสินเชื่อไปจากโจทก์จะต้องทำสัญญาส่งเสริมการปลูกฝ้ายกับห้างจำเลยซึ่งเรียกว่าผู้ส่งเสริมก่อน และต้องเอาฝ้ายดอกมาขายให้จำเลยแต่ผู้เดียวตามราคาที่จำเลยกำหนดไว้ในสัญญา แล้วหักทอนกับสินเชื่อที่รับไป เท่ากับจำเลยออกทุนให้ปลูกฝ้ายแล้วเอาผลิตผลมาขายหักใช้หนี้ ระหว่างที่โจทก์รับเอาสินเชื่อไปจ่ายแก่สมาชิก จำเลยก็มีจดหมายถึงโจทก์ซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการจ่ายสินเชื่อโจทก์จึงเป็นตัวแทนจำเลยทั้งในการนำวัสดุสินเชื่อตลอดจนเงินสดและเช็คไปจ่ายแก่สมาชิก และรวบรวมฝ้ายดอกจากสมาชิกมาขายให้จำเลยโจทก์จึงมีสิทธิรับบำเหน็จจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนจัดหาสมาชิกเกษตรกรชาวไร่ฝ้ายเพื่อรับการส่งเสริมจากจำเลย โดยจำเลยจะจัดหาเมล็ดพันธุ์ฝ้าย ยาฆ่าแมลงเครื่องมือกำจัดศัตรูพืชและเงินสดให้แก่สมาชิกตามระเบียบที่จำเลยทำขึ้นโดยเรียกจำเลยว่า “ผู้ส่งเสริม” ฝ่ายหนึ่ง และสมาชิกเกษตรกรชาวไร่ฝ้ายเรียกว่า”ผู้รับการส่งเสริม” อีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อโจทก์หาสมาชิกได้แล้ว ต้องนำสมาชิกมาทำสัญญากับจำเลย เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวสมาชิกต้องนำผลผลิตมาขายให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว โดยหักราคาขายกับสินเชื่อที่สมาชิกได้รับไป แล้วจำเลยจะจ่ายเงินค่าผลิตผลส่วนที่เกินสินเชื่อให้แก่สมาชิก จำเลยให้โจทก์มีหน้าที่บริการสินเชื่อแก่สมาชิก โดยให้โจทก์มารับสินเชื่อจากจำเลยไปจำหน่ายให้แก่สมาชิกเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว โจทก์ต้องรวบรวมฝ้ายดอกจากสมาชิกมาขายให้แก่จำเลยคนเดียว จำเลยตกลงให้บำเหน็จสินจ้างในการจำหน่ายสินเชื่อในอัตราร้อยละ10 ของสินเชื่อที่จำหน่ายได้ และให้บำเหน็จสินจ้างในการเก็บฝ้ายดอกจากสมาชิกมาขายให้จำเลยกิโลกรัมละ 20 สตางค์ โจทก์รับสินเชื่อไปจากจำเลย1,275,775 บาท ได้บำเหน็จ 127,577 บาท โจทก์ส่งฝ้ายดอกให้จำเลย 252,000 กิโลกรัม โจทก์ได้บำเหน็จ 50,400 บาท รวมเป็นเงิน 177,977บาท แต่โจทก์ขอคิดเพียง 177,900 บาท ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การว่า ไม่เคยตั้งโจทก์เป็นตัวแทน โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลยโจทก์มารับของจากจำเลยไปขายต่อให้แก่ชาวไร่ จำเลยคิดกำไรให้ร้อยละ 10จากราคาขาย หากมีหนี้กันจริงจำเลยก็ใช้หมดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ 131,266.80 บาทและวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่า ในการที่พวกชาวไร่หรือที่เรียกว่า สมาชิกผู้รับการส่งเสริมจะมารับสินเชื่อจากโจทก์ จะต้องมาทำสัญญาส่งเสริมการปลูกฝ้ายกับจำเลย มีกำหนดชำระสินเชื่อคืนในตอนสิ้นปี เมื่อเก็บเกี่ยวฝ้ายดอกแล้วผู้รับการส่งเสริมต้องนำฝ้ายดอกมาขายให้จำเลยคนเดียว ตามราคาที่จำเลยกำหนดไว้ในสัญญา แล้วหักทอนสินเชื่อที่รับไป ในการทำสัญญานี้ผู้รับการส่งเสริมจะต้องนำหลักทรัพย์มามอบให้จำเลยไว้เป็นประกันการชำระหนี้ เท่ากับว่าจำเลยออกทุนให้ผู้รับการส่งเสริมไปปลูกฝ้ายแล้วเอาผลผลิตมาขายให้จำเลยหักใช้หนี้นั่นเอง พฤติการณ์ดังกล่าวมานี้เห็นได้ว่าโจทก์เป็นตัวแทนจำเลยนำวัสดุสินเชื่อตลอดจนเงินสดไปจ่ายให้แก่สมาชิกผู้รับการส่งเสริมและเมื่อสมาชิกผู้รับการส่งเสริมเก็บเกี่ยวดอกฝ้ายได้แล้ว โจทก์ก็เป็นตัวแทนจำเลยไปรวบรวมจากสมาชิกนำมาขายให้จำเลยหักทอนหนี้สินกัน หากเป็นเรื่องซื้อขายกันก็ไม่มีเหตุผลประการใดที่จำเลยจะทดรองเงินจำนวนถึงหนึ่งล้านบาทเศษให้โจทก์ไปจ่ายให้แก่สมาชิกผู้รับการส่งเสริมและรวบรวมฝ้ายดอกจากสมาชิกผู้รับการส่งเสริมมาขายให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดพงษ์โชคชัยการฝ้ายจำเลยใช้เงินจำนวน 131,266.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

Share