แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองเข้าไปในตึกแถวของผู้เสียหาย ได้เข้าไปในห้องของ อ.บุตรผู้เสียหาย มัดอ.แล้วถามหาเซฟอันเป็นที่เก็บทรัพย์ ว่าที่ชั้นบนมีเซฟอยู่หรือเปล่าอยู่ตรงไหน แล้วจำเลยก็ออกจากห้องของ อ. ขึ้นไปบนชั้นที่ 2 พอพบผู้เสียหายก็ยิงผู้เสียหายทันทีโดยไม่มีสาเหตุที่จะมาทำร้ายผู้เสียหายมาก่อน แล้วจำเลยก็วิ่งขึ้นไปบนชั้นที่สาม แสดงว่าขึ้นไปเพื่อหาเซฟ การที่จำเลยมัด อ. กับการที่จำเลยยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายนี้ จำเลยกระทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อันเดียวกัน คือ เพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา339,80 บทหนึ่ง กับมาตรา 289(6),80 อีกบทหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2514 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยบังอาจกระทำผิดกฎหมายกล่าวคือ จำเลยบังอาจร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงโดยเจตนาฆ่านางเหลาเฮี๊ยะ แซ่เฮง 1 นัด กระสุนปืนถูกนางเหลาเฮี๊ยะบริเวณสะบักซ้ายได้รับบาดเจ็บ เพื่อความสะดวกในการที่จำเลยจะชิงทรัพย์นายฉ่วงหลี แซ่อั้ง และนางเหลาเฮี๊ยะ แซ่เฮง จำเลยกระทำผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเพราะกระสุนปืนไม่ถูกที่บริเวณสำคัญของร่างกาย นางเหลาเฮี๊ยะ แซ่เฮง จึงไม่ถึงแก่ความตายและจำเลยบังอาจร่วมกันชิงทรัพย์ธนบัตรเป็นเงิน 10,000 บาท ของนายฉ่วงหลี แซ่อั้ง และนางเหลาเฮี๊ยะ แซ่เฮง ในการชิงทรัพย์นี้จำเลยบังอาจใช้อาวุธปืนขู่เข็ญบังคับผู้เสียหายกับพวกและใช้เชือกมัดมือพวกผู้เสียหายไว้ ใช้ปืนยิงนางเหลาเฮี๊ยะ แซ่เฮง โดยเจตนาฆ่า เพื่อความสะดวกในการชิงทรัพย์ จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล โดยมีคนเห็นเหตุการณ์เสียก่อน จำเลยจึงชิงทรัพย์ไม่สำเร็จ
เหตุเกิดที่ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรีเจ้าพนักงานได้เชือกป่าน 2 เส้น กระสุนปืน 1 นัด ปลอกกระสุนปืน 1 ปลอกที่จำเลยใช้กระทำผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 288, 339, 80 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำคุกจำเลยคนละ 15 ปี ริบของกลางข้อหาพยายามชิงทรัพย์ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6) มาตรา 339 ให้ลงโทษตามมาตรา 289(6) ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด ประกอบด้วยมาตรา 80 จำคุกคนละ 20 ปี ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าคืนโจทก์หาเวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยทั้งสองพูดชวนนายศรี พรหมงามพยานโจทก์ไปปล้นบ้านผู้เสียหาย นายศรีปฏิเสธต่อมาเวลาใกล้กันนั้นมีคนร้าย 2 คนขึ้นไปบนชั้น 2 ของตึกแถวผู้เสียหาย ใช้อาวุธปืนขู่บังคับนายอารักษ์ ทิพย์ราดล บุตรผู้เสียหาย ผลักเข้าไปในห้องนอนของนายอารักษ์ ใช้เชือกมัดมือมัดเท้าไว้ คนร้ายคนหนึ่งนายอารักษ์เคยเห็นและพูดจากันที่ร้านอาหารของบิดา นายอารักษ์จำได้ว่าเป็นจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 กับพวกพูดบังคับให้นายอารักษ์นิ่ง ๆ แล้วออกจากห้องนายอารักษ์ ใช้อาวุธปืนยิงนางเหลาเฮี๊ยะ แซ่เฮงผู้เสียหาย มารดานายอารักษ์ขณะกำลังเก็บผ้าอยู่ที่ตึกชั้นสอง ได้รับบาดเจ็บตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง นางเหลาเฮี๊ยะถูกยิงแล้วร้องโอย ๆ จำเลยที่ 1 กับพวกวิ่งขึ้นไปบนตึกชั้นสามนางสาวอัมพร ทิพย์ธราดล บุตรนางเหลาเฮี๊ยะนอนอยู่ในห้องติดกับห้องนายอารักษ์ที่ตึกชั้นสองได้ยินเสียงมารดาร้อง ออกจากห้องไปดู เห็นจำเลยที่ 1 ลงมาจากตึกชั้นสามจะลงไปชั้นล่าง วิ่งห่างนางสาวอัมพรประมาณ 3 ก้าวนางสาวอัมพรจำจำเลยที่ 1 ได้ เคยเห็นที่ร้านอาหารบิดามาก่อน ต่อมาประมาณ 1 อึดใจก็เห็นชายอีกคนหนึ่งลงมาจากตึกชั้นสามเข้ามาห้ามไม่ให้ร้อง แล้ววิ่งลงไปชั้นล่าง นางสาวอัมพรจำได้ว่าเป็นจำเลยที่ 2 คนร้ายไปแล้วนายฉ่วงหลีสามีนางเหลาเฮี๊ยะกับพวกไปที่เกิดเหตุพานางเหลาเฮี๊ยะส่งโรงพยาบาล ประมาณ 21 นาฬิกาเศษ คืนนั้นร้อยตำรวจตรีสุรชัย รุ่งสว่าง ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ พบหัวกระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง นายอารักษ์บอกร้อยตำรวจตรีสุรชัยว่าจำคนร้ายได้ 1 คน นางสาวอัมพรบอกว่าจำได้ทั้งสองคน นายอารักษ์นำเชือกที่คนร้ายมัดมอบให้ร้อยตำรวจตรีสุรชัยเป็นของกลางเวลานั้น ร้อยตำรวจตรีสุรชัย ทำแผนที่และบันทึกการตรวจสถานที่ไว้ตำรวจสืบสวนทราบจากนายศรี พรหมงาม ว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย จึงจับจำเลยที่ 1,2 แล้วจัดให้นายอารักษ์ นางสาวอัมพรชี้ตัวจำเลยทั้งสอง ทั้งสองคนชี้ได้ถูกต้องนางสาวอัมพรระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนถือปืน พนักงานสอบสวนจึงส่งจำเลยที่ 2 ตรวจหาเขม่าดินปืนที่มือผลการตรวจของผู้ชำนาญกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ตรวจพบเขม่าดินปืนจากแผ่นขี้ผึ้งหล่อจากมือขวาของจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองนำสืบอ้างฐานที่อยู่ไม่ได้กระทำผิด
พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคืนโจทก์หาเวลาประมาณ 21 นาฬิกา มีคนร้าย 2 คนขึ้นไปบนชั้น 2 ของตึกแถวผู้เสียหาย ใช้อาวุธปืนยิงนางเหลาเฮี๊ยะ แซ่เฮง ได้รับอันตรายแก่กายตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง มีปัญหาว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายกระทำผิดดังฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพยานในที่เกิดเหตุคือนางเหลาเฮี๊ยะ แซ่เฮง ผู้เสียหาย กับนางสาวอัมพรและนายอารักษ์ บุตรนางเหลาเฮี๊ยะ นางเหลาเฮี๊ยะจำคนร้ายไม่ได้ ขณะเกิดเหตุที่ตึกชั้นสองที่เกิดเหตุมีไฟฟ้านีออน 10 แรงเทียนเปิดอยู่ในห้องนอนนายอารักษ์ 1 ดวง นอกห้องนอนนายอารักษ์ 20 แรงเทียน อีก 1 ดวง เมื่อจะเกิดเหตุนายอารักษ์ผลักประตูจะออกจากห้องนอนก็ถูกคนร้าย 2 คนที่ขึ้นไปใช้อาวุธปืนจี้ที่คอผลักกลับเข้าไปในห้อง นายอารักษ์เบิกความว่าเห็นคนร้ายจำได้คนหนึ่ง คือจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เคยไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารของบิดา เคยพูดกับนายอารักษ์ด้วย นอกจากนายอารักษ์จำจำเลยที่ 1 ได้แล้ว ยังมีนางสาวอัมพรซึ่งนอนอยู่ในห้องติดกับห้องนอนนายอารักษ์ได้ยินเสียงนางเหลาเฮี๊ยะมารดาร้องเมื่อถูกยิง จึงออกจากห้องมาดู และประคองมารดาเพื่อจะพาเข้าไปในห้องของตนได้เห็นจำเลยที่ 1 วิ่งลงมาจากตึกชั้นสามเพื่อลงไปข้างล่าง หันมามองนางสาวอัมพรห่างประมาณ 3 ก้าว นางสาวอัมพรจำจำเลยที่ 1 ได้นางสาวอัมพรเคยเห็นจำเลยที่ 1 รับประทานอาหารที่ร้านอาหารของบิดาจำเลยที่ 1 วิ่งเลยไปชั้นล่าง ต่อมาไม่ถึง 1 อึดใจ นางสาวอัมพรก็เห็นจำเลยที่ 2 ถือปืนสั้นวิ่งลงมาจากตึกชั้น 3 มาหยุดห่างนางสาวอัมพรประมาณ 3 ก้าว พูดว่าอย่าร้องนะ แล้วลงบันไดไปชั้นล่างนางสาวอัมพรจำจำเลยที่ 2 ได้ หลังจากคนร้ายไปแล้วสักครู่ร้อยตำรวจตรีสุรชัย รุ่งสว่าง พนักงานสอบสวนมาที่ที่เกิดเหตุร้อยตำรวจตรีสุรชัยเบิกความรับรองคำเบิกความของนายอารักษ์และนางสาวอัมพรว่า ทั้งสองคนแจ้งว่าจำคนร้ายได้ ทั้งบอกข้อที่เคยเห็นคนร้ายคนหนึ่งว่าเคยมารับประทานอาหารที่ร้านอาหารของบิดาด้วย ตำรวจสืบสวนทราบจากนายศรีว่าจำเลยเป็นคนร้าย จำเลยทั้งสองก็เบิกความรับว่าเคยรู้จักกับนายศรี เมื่อจำเลยทั้งสองถูกจับมาแล้ว พนักงานสอบสวนจัดให้นายอารักษ์และนางสาวอัมพรชี้ตัว นายอารักษ์ชี้จำเลยที่ 1 นางสาวอัมพรชี้จำเลยทั้งสองได้ถูกต้อง เฉพาะจำเลยที่ 2 นางสาวอัมพรเห็นเป็นคนถือปืนลงมาจากตึกชั้น 3 พนักงานสอบสวนจึงจัดให้ตรวจหาเขม่าดินปืนที่มือ ผลของการตรวจโดยร้อยตำรวจโทถาวร พลอยเลื่อมแสง ผู้ชำนาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ตรวจพบสารไนเตรทมีลักษณะเช่นเดียวกับสารไนเตรทในเขม่าดินปืนที่แผ่นพาราฟินหล่อจากมือขวาของจำเลยที่ 2 สถานที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้านีออนอยู่ภายในตึกแถวชั้น 2 ที่เกิดเหตุเพียงพอที่พยานโจทก์ซึ่งได้เห็นจำเลยโดยใกล้ชิดจะจำจำเลยได้ ทั้งไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย คดีโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย จำเลยทั้งสองเข้าไปในตึกแถวของผู้เสียหายเข้าไปในห้องนายอารักษ์บุตรผู้เสียหาย ใช้เชือกมัดนายอารักษ์ไว้แล้วถามหาเซฟอันเป็นที่เก็บทรัพย์ ว่าที่ชั้นบนมีเซฟอยู่หรือเปล่า อยู่ตรงไหนเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์ เมื่อจำเลยออกจากห้องนายอารักษ์ขึ้นไปชั้นที่ 2 พบนางเหลาเฮี๊ยะ จำเลยก็ใช้อาวุธปืนยิงนางเหลาเฮี๊ยะทันทีโดยไม่มีสาเหตุว่าจำเลยมุ่งจะมาทำร้ายนางเหลาเฮี๊ยะมาก่อน แล้วจำเลยทั้งสองวิ่งขึ้นไปชั้นที่ 3 เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่า จำเลยขึ้นไปชั้นบนเพื่อมุ่งหาเซฟ การยิงนางเหลาเฮี๊ยะจึงเป็นการยิงเพื่อความสะดวกในการกระทำผิดฐานลักทรัพย์เช่นกัน การที่จำเลยมัดนายอารักษ์อันเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย และการที่จำเลยยิงพยายามฆ่านางเหลาเฮี๊ยะนี้ จำเลยกระทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อันเดียวกันคือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ประกอบด้วยมาตรา 80 บทหนึ่ง กับมาตรา 289(6) ประกอบด้วยมาตรา 80 อีกบทหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิด 2 กระทงนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6) ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 339 ประกอบด้วยมาตรา 80 ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 289(6) ประกอบด้วยมาตรา 80 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดบทเดียว นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์