แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ ครั้นวันที่ 25กุมภาพันธ์ 2506 จำเลยทำหนังสือรับรองหนี้สินว่ายังเป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวนหนึ่ง และยอมผ่อนชำระให้โจทก์เป็นรายเดือนภายในสิ้นเดือนของทุกๆเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2506 เป็นต้นไป ถือได้ว่าหนังสือรับรองหนี้สินดังกล่าวนี้ โจทก์จำเลยตกลงเปลี่ยนวิธีการชำระหนี้ใหม่ โดยเรียกเอาดอกเบี้ยค้างส่ง และเรียกเอาจำนวนเงินอันจะพึงส่ง เพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องต้นเงินคืนได้แต่ละงวด งวดละเดือน เริ่มแต่วันที่ 31 มีนาคม 2506 เป็นต้นไป จน ถึงวันที่ 30 เมษายน 2508 เป็นงวดสุดท้าย แต่โจทก์เพิ่งฟ้องคดีเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2513 เป็นเวลาเกิน 5 ปี นับแต่กำหนดวันชำระงวดสุดท้ายเป็นต้นมา ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขอกู้เงินโดยเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ต่อมาจำเลยได้ทำหนังสือรับรองหนี้สินว่าเป็นหนี้โจทก์รวม 37,684 บาทและขอผ่อนชำระเดือนละ 1,500 บาท เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2506โดยยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี และยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นตามประเพณีการเบิกเงินเกินบัญชีของธนาคาร จำเลยมิได้ปฏิบัติตามที่รับรองไว้ โจทก์ทวงถาม จำเลยไม่ชำระ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระหนี้
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามข้อบังคับของโจทก์ เดิมจำเลยเป็นลูกค้าฝากเงินกระแสรายวันกับโจทก์ ภายหลังโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ ต่อมาโจทก์บอกเลิก โดยเรียกร้องให้จำเลยใช้หนี้เบิกเงินเกินบัญชีต่อไป และให้จำเลยผ่อนชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์เดือนละอย่างต่ำ 1,500 บาท ภายในสิ้นเดือนของทุกเดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2506 เป็นต้นไป แต่มิได้ตกลงให้คิดดอกเบี้ยทบต้น โจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องนับแต่เดือนมีนาคม 2506 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 5 ปี คดีขาดอายุความ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 47,572 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ในต้นเงิน 27,148 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทำหนังสือรับรองหนี้สินว่ายังเป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 37,685 บาท และยอมผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนอย่างต่ำเดือนละ 1,500 บาท ให้โจทก์ภายในสิ้นเดือนของทุก ๆ เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2506 เป็นต้นไปถือได้ว่าหนังสือรับรองหนี้สินดังกล่าวนี้โจทก์จำเลยได้ตกลงเปลี่ยนแปลงวิธีการชำระหนี้ใหม่ โดยเรียกเอาดอกเบี้ยค้างส่งและเรียกเอาจำนวนเงินอันพึงส่งเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องต้นเงินคืนได้แต่ละงวด ๆ ละเดือน และสิทธิเรียกร้องของโจทก์เรียกร้องได้งวดละ 1,500 บาท เริ่มวันที่ 31 มีนาคม 2506 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2508 เป็นงวดสุดท้าย โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2514 เป็นเวลาเกิน 5 ปี นับแต่กำหนดวันชำระงวดสุดท้ายเป็นต้นมา ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 (อ้างฎีกาที่ 581/2494)
พิพากษายืน