แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่มิใช่บิดามารดาและไม่เป็นผู้ปกครองของหญิงย่อมไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินสินสอดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1436 วรรคท้าย ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2517)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นบิดานางสาวสมพิศ ปัจจุบันคือนางบุญเที่ยงตรง ภรรยาจำเลยที่ 2 โจทก์ที่ 2 เป็นพี่ชายร่วมบิดามารดาเดียวกับนางสมพิศและเป็นผู้ปกครองดูแลนางสมพิศก่อนแต่งงานกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ตกลงหมั้นนางสาวสมพิศโดยจำเลยตกลงให้เงินสินสอด 8,000 บาท จะนำมามอบให้โจทก์ในวันสมรส เมื่อจำเลยที่ 2สมรสกับนางสาวสมพิศโดยชอบด้วยกฎหมาย และอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา จำเลยไม่ชำระเงินค่าสินสอด ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินสินสอด 8,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่ได้ตกลงจะให้เงินสินสอด โจทก์ที่ 2ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ใช่ผู้ปกครองตามกฎหมายของนางสมพิศนางสมพิศยังมีบิดามารดาอยู่ และบรรลุนิติภาวะจดทะเบียนสมรสได้เอง
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ปกครองนางสมพิศตามความเป็นจริง มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ตกลงจะให้เงินสินสอด 8,000บาทแก่โจทก์ที่ 2 โดยเฉพาะ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ตกลงด้วย พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 8,000 บาทแก่โจทก์ที่ 2 ยกฟ้องโจทก์ที่ 1และยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ตกลงจะให้เงินค่าสินสอดแก่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 ไม่ใช่ผู้ปกครองนางสาวสมพิศทั้งตามความเป็นจริงและตามกฎหมาย ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองฎีกาให้จำเลยร่วมกันใช้เงินสินสอด 8,000 บาทแก่โจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 ไม่อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นประการใด คดีเฉพาะตัวของโจทก์ที่ 1 จึงยุติแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ 1 ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ 2 ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ที่ 2 มิใช่บิดามารดาและไม่เป็นผู้ปกครองของนางสมพิศ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า โจทก์ที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินสินสอดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1436 วรรคท้าย ได้ โจทก์ที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ปกครองนางสมพิศตามความเป็นจริงมีอำนาจฟ้องนั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1555
พิพากษายืน