แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยและจำเลยร่วมไม่ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยาน 3 วัน และไม่อ้างเหตุขัดข้องประการใด เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายสืบพยานก่อนสืบพยานเสร็จแล้วถึง 24 วัน จำเลยร่วมจึงยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเช่นนี้ โจทก์ย่อมไม่ทราบถึงพยานหลักฐานของจำเลยร่วมว่ามีอย่างไรก่อนที่จะสืบพยานของตน เป็นการเสียเปรียบในทางคดี และคำร้องของจำเลยร่วมก็มิได้อ้างเหตุสมควรว่าตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานมาสืบหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานมีอยู่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม จึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยร่วมระบุพยานได้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดกับจำเลยและขอแบ่งทรัพย์ กับขอให้ศาลพิพากษาว่าการขายฝากที่ดินระหว่างจำเลยและนายสมบุญ จานศิลา เป็นโมฆะ
ต่อมาศาลอนุญาตให้เรียกนายสมบุญ จานศิลา เข้าเป็นจำเลยร่วม
จำเลยและจำเลยร่วมต่างให้การต่อสู้คดี ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยและจำเลยร่วมยังไม่ยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยและจำเลยร่วม พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน และพิพากษาว่าการโอนที่ดินโฉนดที่ 12221 และ 12522 ให้จำเลยร่วมเป็นโมฆะ ให้จำเลยแบ่งทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง 4 รายการให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์ หรือยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น รับบัญชีพยานจำเลยร่วมดำเนินการสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นไม่รับบัญชีพยานจำเลยร่วมชอบแล้ว แต่คดีนี้โจทก์มิได้ขอให้ศาลพิพากษาว่า นิติกรรมการซื้อขายทรัพย์อันดับ 4 เป็นโมฆะ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่านิติกรรมการซื้อขายทรัพย์อันดับ 4 เป็นโมฆะ เป็นการเกินคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ทรัพย์อันดับ 4 เป็นโมฆะ จึงต้องถือว่าจำเลยร่วมเป็นเจ้าของทรัพย์อันดับที่ 4 จะนำทรัพย์อันดับ 4 มาแบ่งไม่ได้ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า นิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วมเป็นโมฆะเฉพาะนิติกรรมการขายฝากที่ดินโฉนดที่ 12221 ให้จำเลยแบ่งทรัพย์อันดับ 1 อันดับ 2 และอันดับ 3 ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องให้โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาขอให้รับบัญชีพยานของจำเลยร่วมแล้วดำเนินการสืบพยานต่อไปและพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกาขอให้แก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น หรือพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งทรัพย์อันดับ 4 คือเงินสด 30,000 บาท ที่ยังอยู่กับนางทุเรียนให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมมีปัญหาเฉพาะให้รับบัญชีพยานจำเลยร่วมเท่านั้น เห็นว่าจำเลยและจำเลยร่วมทราบวันนัดสืบพยานและได้ไปศาลในวันสืบพยานโจทก์นัดแรกเมื่อวันที่1 พฤษภาคม 2513 แต่ไม่ยื่นบัญชีพยานก่อนวันสืบพยาน 3 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคแรก ทั้งไม่อ้างเหตุขัดข้องประการใด ครั้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยและจำเลยร่วมวันที่ 1 มิถุนายน 2513 วันที่ 25 พฤษภาคม2513 จำเลยร่วมผู้เดียวจึงยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีพยาน อ้างว่าเพราะถูกเรียกมาเป็นจำเลยร่วมโดยไม่รู้ตัวมาก่อน ซึ่งไม่เป็นความจริงเพราะจำเลยร่วมได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2513 แสดงว่าทราบดีที่ถูกเรียกมาเป็นจำเลยร่วม และได้ทราบก่อนวันสืบพยานถึง 3 เดือน คำร้องขอยื่นบัญชีพยานของจำเลยร่วมก็ไม่อ้างเหตุสมควรว่าตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานมาสืบ หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างมีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคสาม จึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยร่วมระบุพยานตามขอได้ ทั้งปรากฏว่าคดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนสืบพยานโจทก์เสร็จไปแล้ว 24 วัน โจทก์ย่อมไม่ทราบถึงพยานหลักฐานของจำเลยร่วมว่ามีอย่างไรก่อนที่จะสืบพยานของตน เป็นการเสียเปรียบในทางคดี ฎีกาจำเลยและจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น”
ส่วนฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับทรัพย์อันดับ 4 ตามฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน