แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้แบ่งที่นาให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยได้ทำต่อกันไว้ตามสำเนาบันทึกการประนีประนอมยอมความท้ายฟ้อง แต่จำเลยไม่ได้ให้การโดยแจ้งชัดถึงสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์อ้างว่าจำเลยตกลงแบ่งที่นาพิพาทตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้องเลย ต้องถือว่าจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้จริงยิ่งไปกว่านั้นตามสำเนาคำเปรียบเทียบของอำเภอซึ่งจำเลยแนบมาพร้อมกับคำให้การ จำเลยก็ยอมรับว่าได้ลงชื่อแบ่งที่ดินนี้จริงเป็นแต่อ้างว่าเซ็นชื่อโดยไม่สมัครใจ ที่จำเลยให้การว่าถูกขู่ แต่คำให้การของจำเลยไม่มีข้อความที่ทำให้เห็นว่าเป็นการข่มขู่อันจะทำให้สัญญาประนีประนอมไม่ชอบแต่ประการใด คดีจึงไม่จำต้องสืบพยานกันต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นบุตรนายพันธ์ สุขโท้ และนางเย็น สุขโท้บิดามารดาโจทก์จำเลยมีบุตร 8 คน และมีที่ดินนา 1 แปลง เนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลวังสำโรง อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ราคา 15,500 บาท เมื่อประมาณ 20 ปีเศษมานี้ นายพันธ์ สุขโท้ถึงแก่กรรม นางเย็น สุขโท้ รับมรดกครอบครองทำกินในที่นาดังกล่าวตลอดมา
เมื่อประมาณ 7-8 ปีมานี้ นางเย็น สุขโท้ ได้แบ่งแยกที่ดินนานี้ให้โจทก์จำเลยคนละประมาณ 5 ไร่ 1 งาน แล้วต่างคนต่างเข้าครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง เมื่อประมาณ 5 ปีมานี้ นางเย็น สุขโท้ ถึงแก่กรรม โจทก์จึงให้จำเลยซึ่งเป็นน้องไปร้องขอประกาศรับมรดกที่ดินนาดังกล่าว เมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2512 ที่อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เพื่อออกน.ส.3 และเพื่อแบ่งกันตามส่วน ต่อมาทางอำเภอออก น.ส.3 เลขที่ 241 เป็นชื่อจำเลยให้
เดือนกุมภาพันธ์ 2513 โจทก์เตือนจำเลยให้ไปจัดการแบ่งแยกที่ดินนาดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยไม่ยอมแบ่ง โจทก์จึงร้องเรียนต่อนายยงยุทธ อมรางกูร ปลัดอำเภอตะพานหิน ในที่สุดจำเลยตกลงประนีประนอมยอมความแบ่งให้โจทก์ตามส่วนตามเขตที่แบ่งกันปกครองคนละเท่า ๆ กันตามเดิม ตามสำเนาบันทึกการประนีประนอมยอมความท้ายฟ้อง แล้วต่อมาจำเลยไม่ยอมแบ่ง ขอศาลพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินนาตาม น.ส.3 เลขที่ 241 ให้โจทก์คนละ5 ไร่ 1 งาน หรือคนละเท่า ๆ กัน ถ้าไม่สามารถแบ่งได้ ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วนคนละเท่า ๆ กัน
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณ 15-16 ปีมานี้ นางเย็น สุขโท้ ได้ยกที่ดินนาแปลงพิพาทให้จำเลย จำเลยจึงไปออก ส.ค.1 แจ้งการครอบครองและเข้าครอบครองทำกินตลอดมาจนทุกวันนี้ นางเย็น สุขโท้ ไม่เคยยกที่ดินนาแปลงพิพาทให้โจทก์ และโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครอง เมื่อเดือนธันวาคม 2512 จำเลยไปขอออก น.ส.3 โดยมิได้ประกาศรับมรดกแต่อย่างใดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2513 นายยงยุทธ อมรางกูร ไปที่บ้านนายม้วนสังข์ช้าง ผู้ใหญ่บ้าน พร้อมด้วยนายน้าว นางเนียม นางนาก นางนวม แล้วนายยงยุทธ อมรางกูร เรียกจำเลยไปพบและพูดในทำนองขู่ว่า พวกนายน้าวไปร้องว่าจำเลยจะเอาที่บ้านที่สวน ที่นามรดกคนเดียวจะขอแบ่งมรดกบ้าง จำเลยบอกนายยงยุทธ อมรางกูร ว่าที่บ้านที่สวนเป็นมรดก แบ่งกันอยู่อาศัยทำกินเป็นสัดส่วนอยู่แล้ว ส่วนที่ดินนาพิพาทเป็นของจำเลย โดยนางเย็น สุขโท้ยกให้เป็นเวลา 15-16 ปีมาแล้ว ส่วนที่บ้านที่สวนจะจัดการอย่างไรไม่ขัดข้อง นายยงยุทธ อมรางกูร จึงพูดว่าเมื่อยอมแบ่งที่บ้านที่สวนให้จำเลยลงชื่อไว้ ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2513 นายยงยุทธ อมรางกูร เรียกโจทก์จำเลยไปทำการเปรียบเทียบไม่เป็นที่ตกลงกัน ทางอำเภอสั่งให้ฟ้องภายใน 10 วัน เลยกำหนดมาแล้วโจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะมิได้ฟ้องภายใน 1 ปี
วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่ให้การโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธ เป็นคำให้การที่ไม่มีประเด็น เท่ากับยอมรับว่าได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามสัญญาท้ายฟ้องแล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินนาตามฟ้องให้โจทก์คนละ5 ไร่ 1 งาน ถ้าไม่สามารถจะแบ่งได้ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลยคนละหนึ่งส่วนเท่า ๆ กัน กับให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าทนายความอีก 200 บาทแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความชั้นนี้ ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาเห็นว่า ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมแบ่งที่นาพิพาทกันตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายฟ้อง ก็ไม่จำต้องพิจารณาว่านางเย็น สุขโท้ มารดาได้ยกที่นาพิพาทให้โจทก์จำเลยคนละเท่า ๆ กัน หรือยกให้จำเลยคนเดียว พิเคราะห์คำให้การจำเลยแล้ว จำเลยให้การเพียงว่า เมื่อนายยงยุทธ อมรางกูร แจ้งให้จำเลยทราบว่าโจทก์หาว่าจำเลยจะเอาที่บ้านที่สวนที่นาคนเดียว จำเลยชี้แจงว่า ที่บ้านที่สวนเป็นทรัพย์มรดกแบ่งกันอยู่อาศัยทำกินเป็นส่วนสัดอยู่แล้ว จะจัดการอย่างไรจำเลยไม่ขัดข้อง นายยงยุทธ อมรางกูร ว่าเมื่อยอมแบ่งที่บ้านที่สวนก็ให้จำเลยลงชื่อไว้ จำเลยไม่ได้ให้การโดยแจ้งชัดถึงสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์อ้างว่าจำเลยตกลงแบ่งที่นาพิพาทตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้องเลย ต้องถือว่าจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้จริง ยิ่งไปกว่านั้นตามสำเนาคำเปรียบเทียบของอำเภอซึ่งจำเลยแนบมาพร้อมกับคำให้การ จำเลยก็ยอมรับว่าได้ลงชื่อแบ่งที่ดินนี้จริง เป็นแต่อ้างว่าเซ็นชื่อโดยไม่สมัครใจที่จำเลยให้การว่านายยงยุทธ อมรางกูร พูดเป็นทำนองขู่ แต่ใจความที่นายยงยุทธ อมรางกูร พูดตามที่จำเลยกล่าวในคำให้การ ไม่มีข้อความที่ทำให้เห็นว่าเป็นการข่มขู่อันจะทำให้สัญญาไม่ชอบแต่ประการใด คดีจึงไม่จำต้องสืบพยานกันต่อไป
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นศาลอุทธรณ์ฎีกาแก่โจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 250 บาท