คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1134/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า. ที่พิพาทเป็นทรัพย์สินของกองมรดกอยู่ยังไม่ตกได้แก่จำเลย ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทยังไม่ตกได้แก่จำเลย และให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าที่จำเลยรับไว้จากผู้เช่าพร้อมกับดอกเบี้ย ให้แก่ผู้จัดการมรดกเป็นผู้เก็บรักษาไว้ จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทตกได้แก่จำเลยตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกแล้ว เงินค่าเช่าที่พิพาทที่จำเลยรับไว้ก็ตกเป็นของจำเลยด้วยศาลจึงกำหนดประเด็นที่โจทก์จำเลยจะนำสืบไว้ว่า ที่ดินวังพิพาทยังเป็นของกลางของทายาทหรือตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยตามพินัยกรรมแล้วจำเลยแถลงต่อศาลขอยืนยันให้ศาลชี้ขาดกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทไปตามจำเลยให้การต่อสู้ ดังนี้ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาล เมื่อจำเลยแพ้คดีชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ได้ และเมื่อเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จำเลยจึงต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ตามราคาทรัพย์ที่พิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นทิวากรวงษ์ประวัติตามคำสั่งศาล ไม่จัดการมรดกให้เป็นไปตามกฎหมาย แล้วยังมีเจตนาไม่สุจริต ประสงค์จะเบียดบังยักยอกผลประโยชน์รายได้จากทรัพย์มรดกเป็นของจำเลยเอง และอ้างว่าทรัพย์มรดกได้ตกแก่จำเลยแล้ว เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และกระทำผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกทำให้โจทก์ผู้เป็นทายาทและจะได้รับประโยชน์ตามพินัยกรรมได้รับความเสียหาย จำเลยจึงไม่สมควรจะเป็นผู้จัดการมรดกขอให้ถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก และตั้งโจทก์ทั้ง6 คนหรือคนใดคนหนึ่งตามที่ศาลจะเห็นสมควรเป็นผู้จัดการมรดก กับให้จำเลยคืนเงินที่รับไว้จากผู้เช่าที่พิพาทอันเป็นมรดกตามพินัยกรรมให้แก่ผู้จัดการมรดกที่รับแต่งตั้งจากศาลเป็นผู้เก็บรักษาไว้

จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยเป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรม ย่อมรับผลตามพินัยกรรมได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ผู้เคยมีสิทธิอาศัยองค์อื่นต้องสิ้นชีพตักษัยไปหมดเสียก่อน เพราะเมื่อผู้มีสิทธิอาศัยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องบังคับภายใน 10 ปี สิทธินั้นก็สิ้นสุดลงเพราะอายุความ จำเลยเป็นผู้ใกล้ชิดกับสิทธิรับมรดกมากที่สุด ไม่มีใครสมควรจะจัดการมรดกยิ่งกว่าจำเลย โจทก์เป็นผู้ไม่สมควรเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินพิพาท

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาว่า ที่พิพาทยังไม่ตกเป็นสิทธิแก่จำเลย โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์อยู่ด้วยตามความในเงื่อนไขพินัยกรรมนั้น ย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันการทำให้เสื่อมเสียประโยชน์อันโจทก์จะพึงได้ แต่ความสำเร็จแห่งเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 ทรัพย์พิพาทเป็นมรดกของกลางในระหว่างเงื่อนไขยังไม่สำเร็จ จำเลยจึงเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลและต้องจัดการทรัพย์นี้อย่างเป็นทรัพย์มรดกจนกว่าจะถึงเวลาที่เงื่อนไขสำเร็จ ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงหรือถอดถอนผู้จัดการมรดกตามฟ้องโจทก์ ให้จำเลยจัดการทรัพย์มรดกไปตามนัยที่พิพากษานี้

จำเลยอุทธรณ์ ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะที่ให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าทนายความแทนโจทก์ เป็นว่าไม่ต้องเสียแทนโจทก์หรือเสียเพียงภายในจำนวนที่ศาลชั้นต้นควรจะเรียกจากโจทก์ได้ตามกฎหมายและให้คำนวณค่าทนายความเสียใหม่ โดยถือว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์หรือทุนทรัพย์ไม่เกิน 100,000 บาท

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นควรเรียกค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 100,000 บาท และที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 100 บาท แทนโจทก์นั้นไม่ชอบ

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์สินของกองมรดกอยู่ ยังไม่ตกได้แก่จำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทยังไม่ตกได้แก่จำเลยและให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าที่จำเลยรับไว้จากผู้เช่าพร้อมกับดอกเบี้ย ให้แก่ผู้จัดการมรดกเป็นผู้เก็บรักษาไว้ จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทตกได้แก่จำเลยตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกแล้ว เงินค่าเช่าที่พิพาทที่จำเลยรับไว้ก็ตกเป็นของจำเลยด้วย ศาลจึงกำหนดประเด็นที่โจทก์จำเลยจะสืบไว้ว่า ที่ดินวังพิพาทยังเป็นของกลางของทายาทหรือตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยตามพินัยกรรมแล้ว จำเลยแถลงต่อศาล ขอยืนยันให้ศาลชี้ขาดกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทไปตามจำเลยให้การต่อสู้ ดังนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 100 บาทแทนโจทก์เป็นการไม่ชอบนั้นจำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาล เมื่อจำเลยแพ้คดีชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ได้ และเมื่อเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จำเลยจึงต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ตามราคาทรัพย์ที่พิพาท

พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share