คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2834/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่ 2โจทก์ทั้งสองต่างฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิด ทำให้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้นั้นเสียหายโดยโจทก์ที่ 1 ได้เสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถให้แก่โจทก์ที่ 2 ตามสัญญาประกันภัยแล้วรับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ 2 มาฟ้องและโจทก์ที่ 2 ฟ้องเรียกร้องค่าที่สินค้าซึ่งบรรทุกมาในรถคันดังกล่าวเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสองจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์เช่นนี้แม้คดีสำหรับโจทก์ที่ 1 จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคแรกแต่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยไปแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 ไม่ได้รับช่วงสิทธิใด ๆ ไปจากโจทก์ที่ 2 เลยโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลยอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนสมควรยกขึ้นวินิจฉัยไปถึงคดีในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 ตาม มาตรา 142(5) ด้วย จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุก 10 ล้อ ซึ่งโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ครอบครอง ในประเภทรับผิดชดใช้ความเสียหายโดยสิ้นเชิง จำเลยเป็นนิติบุคคลประกอบธุรกิจรับจ้างบรรทุกขนส่งรถยนต์ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยแพขนานยนต์ลูกจ้างโจทก์ที่ 2 นำรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ดังกล่าวบรรทุกข้าวโพดเม็ด 200 กระสอบ ลงแพขนานยนต์ของจำเลย เมื่อรถยนต์ขึ้นจากแพขนานยนต์ ล้อหน้าอยู่บนท่า ล้อหลังยังอยู่ในแพขนานยนต์ ลวดสลิงสำหรับยึดตัวแพกับหลักที่ท่าหลุดแพเลื่อนออก รถยนต์ตกลงไปในน้ำทั้งคัน อันเป็นความประมาทของลูกจ้างจำเลยที่มิได้ผูกลวดสลิงให้แข็งแรงรถยนต์เสียหายโจทก์ที่ 1 ผู้รับประกันภัยเสียค่าใช้จ่ายรวม 18,307 โจทก์ที่ 2 เสียหายรวม71,500 บาท ขอให้จำเลยใช้เงิน

จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เสียหาย จำเลยมิได้กระทำละเมิด การที่รถยนต์ตกลงในแม่น้ำ เป็นความประมาทของผู้ขับรถยนต์เอง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์ที่ 1 และให้ชำระเงิน 26,500 บาทแก่โจทก์ที่ 2

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า รถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่ 2 ตกแม่น้ำเพราะไม่มีกำลังพอเนื่องจากบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัดไปมาก ไม่ใช่เพราะความผิดของฝ่ายจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด

วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า แม้คดีสำหรับโจทก์ที่ 1 จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคแรก แต่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยไปแล้วคดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยฟ้องจำเลยเรียกให้ชำระหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดโดยรับช่วงสิทธิจากโจทก์ที่ 2 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 ไม่ได้รับช่วงสิทธิใด ๆ ไปจากโจทก์ที่ 2 เลย จึงไม่มีอำนาจฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่ออำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยไปถึงคดีในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ด้วยฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 600 บาทแทนจำเลย

Share