คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2558/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาถึงที่สุดได้วางเงินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีแล้วก็ไม่มีเหตุที่จะต้องดำเนินการบังคับคดีโดยการยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่นต่อไปกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 การที่ลูกหนี้ได้วางเงินต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้วหากว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีไว้เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องถอนการบังคับคดีนั้นตาม มาตรา 295(1) เมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ได้แถลงรับว่าได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งให้งดการบังคับคดีตามมาตรา 292(2) ศาลจึงชอบที่จะยกคำร้องขอให้งดการบังคับคดีของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นเสียได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงิน 18,135,697 บาท 16 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนถึงวันที่ได้ชำระเสร็จให้แก่จำเลย และให้โจทก์ทำการไถ่ถอนจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามที่โจทก์ฟ้องทั้งหมด เพราะจำเลยชำระหนี้หมดแล้วกับให้โจทก์ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความศาลชั้นต้น 1,000,000 บาท ชั้นอุทธรณ์และฎีการวม 1,000,000 บาท ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ จำเลยยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีอายัดทรัพย์สินของโจทก์ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตั้งเต้าพนักงานกรมบังคับคดีเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึดทรัพย์สินของโจทก์ผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 11 มกราคม 2516 ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลอาญาหาว่านำสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จเบิกความเท็จในคดีนี้ เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นและศาลฎีกาหลงเชื่อพยานเอกสารอันเป็นเท็จและคำเบิกความอันเป็นเท็จของจำเลยพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 17361/2525การกระทำผิดอาญาของจำเลยทั้งสามเป็นการการทำละเมิดให้โจทก์เสียหายโจทก์ได้ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยจำนวน 188,214,576 บาท33 สตางค์ ต่อศาลแพ่ง ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 15336/2525 คดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอาญาและศาลแพ่ง ซึ่งโจทก์มีทางชนะและสามารถหักกลบลบหนี้กับจำเลยได้ ขอให้งดการบังคับคดีนี้ไว้ก่อนจำเลยทั้งสามแถลงคัดค้าน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าคดีนี้หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้งดการบังคับคดีตามคำขอโจทก์แล้ว โจทก์ได้วางเงิน 28,691,802บาท 67 สตางค์ ต่อกรมบังคับคดีเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาตามภาพถ่ายใบรับเงินของกรมบังคับคดีลงวันที่ 13 มกราคม 2526 ท้ายฎีกาของโจทก์ และปรากฏจากคำแถลงของโจทก์ลงวันที่ 25 มกราคม 2526 ว่า โจทก์ได้ปฏิบัติตามหมายบังคับคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยนำเงินจำนวนดังกล่าวไปวางศาล ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ผู้ค้ำประกันจึงพ้นจากความรับผิด เห็นว่าเมื่อโจทก์ได้วางเงินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องดำเนินการบังคับคดีโดยยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของโจทก์ลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยวิธีอื่นต่อไป กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 การที่โจทก์ได้วางเงินต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษา เช่นนี้ หากว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีไว้ เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องถอนการบังคับคดีนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) อยู่นั่นเอง จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292(2) ดังที่โจทก์อ้าง เพราะโจทก์ก็ได้แถลงรับว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลเสร็จสิ้น ที่ศาลล่างให้ยกคำร้องขอให้งดการบังคับคดีของโจทก์ชอบแล้ว

พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share