คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะมิได้เป็นผู้ลงมือข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่พฤติการณ์ที่จำเลยช่วยกันฉุดผู้เสียหายและช่วยกดคอและตบตีผู้เสียหายเพื่อให้พวกของจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในลักษณะโทรมหญิงนั้นถือได้ว่าจำเลยได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิดด้วยกันกับพวกของจำเลยแล้ว จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 83

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางบุญช่วย อายุ 30 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลย โดยใช้กำลังประทุษร้ายและผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและใช้อาวุธปืน 1 กระบอกขู่เข็ญผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 และ 83

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง (ที่ถูกเป็นมาตรา 276 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 83) จำคุก 15 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้กำลังกายฉุดผู้เสียหายไปที่ศาลา โดยจำเลยเป็นคนกดคอและตบตีผู้เสียหายมิให้ขัดขืน แล้วพวกของจำเลย 2 คนได้ผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง และใช้อาวุธปืนข่มขู่ผู้เสียหายแม้จำเลยจะมิได้เป็นผู้ลงมือข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์ที่จำเลยช่วยกันฉุดผู้เสียหายและช่วยกดคอและตบตีผู้เสียหายเพื่อให้พวกของจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในลักษณะโทรมหญิงนั้น ถือได้ว่าจำเลยได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิดด้วยกันกับพวกของจำเลยด้วยแล้ว จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้องพยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share