คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์นำมูลหนี้ตามเช็คในคดีนี้ไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง ซึ่งต่อมาได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาคดีตามยอมแล้ว ผลของการประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป หนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คตามฟ้องเพื่อใช้เงินนั้นจึงเป็นอันสิ้นผลผูกพันและคดีเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ในการนำคดีอาญามาฟ้องจึงเป็นอันระงับไป(คำสั่งศาลฎีกา)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2524 มาตรา 4 จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ก่อนจะวินิจฉัยฎีกาของจำเลยเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า หลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้แล้ว ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดนนทบุรีให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค ในที่สุดโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลจังหวัดนนทบุรีได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้วคดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 7 หรือไม่ ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย ข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนว่า ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 28 ตุลาคม 2541 พร้อมแนบสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยเพื่อประกอบการพิจารณา โดยอ้างว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทคดีนี้โจทก์ได้นำไปฟ้องจำเลยเรียกเงินตามเช็คต่อศาลจังหวัดนนทบุรีแล้วโจทก์และจำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2012/2540 ของศาลจังหวัดนนทบุรี ซึ่งศาลชั้นต้นได้ไต่สวนและนางสวิง บุญบุตร ผู้เสียหาย ยอมรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความจริง แต่อ้างว่าเป็นการยอมความกันเฉพาะในคดีส่วนแพ่งไม่ได้ยอมความในคดีส่วนอาญาด้วย ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า มูลหนี้ตามเช็คคดีนี้โจทก์ได้นำไปฟ้องจำเลยให้ชดใช้เงินตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2012/2540 ของศาลจังหวัดนนทบุรีแล้ว โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลได้พิพากษาคดีตามยอมถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2540 ผลของการประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตนดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 ดังนั้น หนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คตามฟ้องเพื่อใช้เงินนั้นจึงเป็นอันสิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยข้ออื่น”

ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ

Share