แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เป็นคนส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 ฟันทำร้ายพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งหลังจากที่จำเลยที่ 2 ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยแม้ว่าตอนที่จำเลยที่ 1 วิ่งตามผู้เสียหายที่ 2 ไปนั้น จำเลยที่ 2 ได้วิ่งตามไปด้วยก็ดี หรือขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 จะเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ได้พูดห้ามปรามว่าอย่ารุมก็ดี ยังไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ตั้งใจจะร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 เนื่องจากขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ใช้ไม้ตีมือจำเลยที่ 1 จนอาวุธปืนสั้นหลุดจากมือ จำเลยที่ 2 ก็มิได้ใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายที่ 1 หรือผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง อันพอจะเป็นการแสดงให้เห็นได้ว่าตั้งใจจะเข้าช่วยเหลือในลักษณะเข้ารุมทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ตามสภาพอาวุธของตนที่มีอยู่ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 โดยมิได้เข้าร่วมใช้มีดพร้าฟันทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง จึงถือไม่ได้ว่ามีเจตนาเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดดังกล่าว แต่มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ในการกระทำผิดก่อนกระทำความผิดอีกทั้งการที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ในตอนแรก จำเลยที่ 2 ยังมิได้ดำเนินการอะไรให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะร่วมทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนสั้นมายังที่เกิดเหตุโดยจำเลยที่ 2 ถือมีดพร้ามาด้วยนั้น พฤติการณ์พอถือได้ว่า ต่างคนต่างเจตนาจะครอบครองอาวุธของตนเองตามลำพัง เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาจะร่วมกันกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีและพาอาวุธปืนดังกล่าวทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 และพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีอาวุธปืนสั้นไม่ทราบชนิดและขนาดและไม่ปรากฏชัดว่ามีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานหรือไม่ จำนวน 1 กระบอกและมีกระสุนปืนไม่ทราบชนิดและขนาดหลายนัดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันพาอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวกับอาวุธมีดพร้า 1 เล่ม ติดตัวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควรและโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวตีทำร้ายร่างกายนายสัญญา สุวรรณาราม ผู้เสียหายที่ 1 ที่บริเวณศีรษะ 1 ครั้ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจและจำเลยทั้งสองโดยเจตนาฆ่าได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนสั้นยิงประทุษร้ายร่างกายนางพับ แย้มนาขา ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 1 นัด กับใช้มีดพร้าฟันประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ที่บริเวณศีรษะ 1 ครั้ง จำเลยทั้งสองลงมือกระทำผิดไปตลอดแล้ว แต่ไม่บรรลุผลเนื่องจากผู้เสียหายที่ 2 หลบทันกระสุนปืนที่ยิงจึงไม่ถูกผู้เสียหายที่ 2 และผู้เสียหายที่ 2 ยกมือขึ้นป้องกันมีดพร้าที่ฟันจึงไม่ถูกศีรษะเต็มแรง ผู้เสียหายที่ 2 จึงไม่ถึงแก่ความตายเพียงแต่ได้รับอันตรายสาหัสถึงนิ้วมือขาด ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 297, 295, 371, 91, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 371 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำคุกคนละ 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ จำคุกคนละ 4 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นจำคุกคนละ 12 ปี รวมจำคุกคนละ 13 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 86 และ 371 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดพยายามฆ่าผู้อื่นจำคุก 8 ปี ฐานพาอาวุธไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะปรับ 100 บาท รวมจำคุก 8 ปี และปรับ 100 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนสั้นมีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และได้พาอาวุธปืนสั้นดังกล่าวพร้อมเครื่องกระสุนปืนไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนอกจากนี้จำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนสั้นดังกล่าวตีทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ และยังได้ใช้อาวุธปืนสั้นกระบอกเดียวกันยิงและใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายที่ 2 โดยพยายามฆ่าจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดอาวุธมีดพร้าของกลางได้ที่บ้านของบิดาจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ยอมรับว่ามีดพร้าดังกล่าวเป็นของบิดาจำเลยที่ 2 คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2 ประการแรกว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานพาอาวุธมีดพร้าไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานพาอาวุธมีดพร้าไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรด้วย จึงต้องถือว่ายกฟ้องในความผิดดังกล่าวเมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ ความผิดดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 หยิบยกมาวินิจฉัยแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดในข้อหาดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ ฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ และตามฎีกาจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดพยายามฆ่าผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ ซึ่งเห็นสมควรวินิจฉัยไปพร้อมกันคดีนี้โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ต่างเบิกความยืนยันต้องกันว่า ในคืนเกิดเหตุหลังจากจำเลยที่ 1 กับผู้เสียหายที่ 1 มีเรื่องชกต่อยกันที่นากุ้งของนางสุภาพแล้วจำเลยที่ 1 ก็กลับไปบ้านนานประมาณ 1 ชั่วโมง จำเลยที่ 1 ได้กลับมาที่นากุ้งอีกมากับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนสั้น จำเลยที่ 2 ถือมีดพร้า เมื่อมาถึงนากุ้งจำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนตีที่ศีรษะผู้เสียหายที่ 1 แล้วจ้องอาวุธปืนสั้นยิงไปที่ผู้เสียหายที่ 2 แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายที่ 2 ผู้เสียหายที่ 1 จึงใช้ไม้ตีมือจำเลยที่ 1 จนอาวุธปืนสั้นหลุดจากมือ จำเลยที่ 2 ได้ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 ฟันทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 จนได้รับอันตรายสาหัส ผู้เสียหายที่ 2 วิ่งหนี จำเลยที่ 1 วิ่งไล่ตามแต่นางสุภาพได้เข้ามาห้ามปรามไว้ จำเลยทั้งสองได้พากันหลบหนีไป ซึ่งข้อนี้แม้นางสุภาพ โอบอ้อม พยานโจทก์จะเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่าสรุปแล้วในคืนเกิดเหตุพยานไม่เห็นจำเลยที่ 2 แต่ส่วนจะด้วยหรือไม่พยานไม่ทราบอันน่าจะเป็นการแสดงถึงเฉพาะความรู้สึกส่วนตัวของนางสุภาพเองเท่านั้น แต่ความเป็นจริงจำเลยที่ 2 จะได้ไปในที่เกิดเหตุกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ นางสุภาพไม่ยืนยันอีกทั้งนางสุภาพได้เบิกความเป็นเชิงแวดล้อมกรณีอยู่ว่า คนงานที่จับกุ้งได้บอกพยานว่า ขณะที่จำเลยที่ 1 กลับมาอีกครั้งหนึ่งได้มากับจำเลยที่ 2 นอกจากนี้สิบตำรวจตรี เพิ่มยศ มังคละเสถียร พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยที่ 1 ได้ในคืนเกิดเหตุและเป็นบุคคลภายนอกก็ได้เบิกความเป็นเชิงเจือสมคำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสองว่า เมื่อพยานไปถึงที่เกิดเหตุได้พบจำเลยที่ 1 กับเพื่อนอีกคนหนึ่ง จำเลยที่ 1 ทำท่าจะหลบหนีแต่พยานเรียกให้หยุด ส่วนเพื่อนของจำเลยที่ 1 หลบหนีไปได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุผลแวดล้อมและมีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนพยานจำเลยที่ 2 ก็มีแต่เพียงตัวจำเลยที่ 2 ปากเดียวแม้จำเลยที่ 1 จะได้เบิกความเป็นเชิงช่วยเหลือว่า จำเลยที่ 2 มิได้เกี่ยวข้องด้วย แต่ไม่มีรายละเอียดและเหตุผลให้น่ารับฟัง อีกทั้งตามที่ปรากฏในคำให้การของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.14 ก็เพียงให้การปฏิเสธลอย ๆ พยานหลักฐานจำเลยที่ 2 จึงไม่มีเหตุผลสนับสนุนให้น่ารับฟังพอหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมไปกับจำเลยที่ 1 และเป็นคนส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 ฟันทำร้ายพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 เมื่อพิจารณาแล้วปรากฏตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่านอกจากจำเลยที่ 2 ได้ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยและแม้จะปรากฏจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า ตอนที่จำเลยที่ 1 วิ่งตามผู้เสียหายที่ 2 ไปนั้น จำเลยที่ 2 ได้วิ่งตามไปด้วยก็ดี หรือขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 จะเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ได้พูดห้ามปรามว่า อย่ารุมก็ดี รูปเรื่องก็ยังไม่อาจรับฟังหรือเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 2 ตั้งใจจะร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 เนื่องจากขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ใช้ไม้ตีมือของจำเลยที่ 1 จนอาวุธปืนสั้นหลุดจากมือ จำเลยที่ 2 ก็มิได้ใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายที่ 1 หรือผุ้เสียหายที่ 2 เสียเองอันพอจะเป็นการแสดงให้เห็นได้ว่าตั้งใจจะเข้าช่วยเหลือในลักษณะเข้ารุมทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ตามสภาพอาวุธของตนที่มีอยู่ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 โดยมิได้เข้าร่วมกระทำการใช้มีดพร้าฟันทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง จึงถือไม่ได้ว่ามีเจตนาเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดดังกล่าว แต่มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ในการกระทำผิดก่อนกระทำความผิด อีกทั้งการที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ในตอนแรกซึ่งจำเลยที่ 2 ก็ยังมิได้ดำเนินการอะไรให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะร่วมทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 และด้วยเหตุนี้การที่จำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนสั้นมายังที่เกิดเหตุโดยจำเลยที่ 2 ถือมีดพร้ามาด้วยนั้น พฤติการณ์พอถือได้ว่าต่างคนต่างเจตนาจะครอบครองอาวุธของตนเองตามลำพัง ทั้งไม่มีความประสงค์จะร่วมกันครอบครองอาวุธของกันและกันตลอดจนท้ายที่สุดจำเลยที่ 2 ก็ไม่มีเจตนาจะร่วมกระทำความผิดดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ตามที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว จำเลยที่ 2 จึงมิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีและพาอาวุธปืนดังกล่าว ทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 และพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเพียงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ฎีกาโจทก์และจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดฐานพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8