คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7095/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4บัญญัติว่า ขาย หมายความรวมถึง ส่งมอบ ดังนี้การที่จำเลยตกลงขายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้ผู้ซื้อถึงขั้นส่งมอบเมทแอมเฟตามีนแล้ว แม้ผู้ซื้อยังไม่ได้ชำระราคาก็เป็นความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนสำเร็จ โดยมิพักต้องวินิจฉัยในแง่กฎหมายแพ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 18,800 เม็ด หนัก 1,742.5 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 170.352 กรัม อันเป็นจำนวนเกินปริมาณที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ,62, 89, 106 ทวิ, 116 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทดังกล่าวมีระวางโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานร่วมกันขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำคุกคนละ20 ปีจำเลยที่ 2ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด10 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่า จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อขาย และได้ขายให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจผู้ล่อซื้อ มีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 หรือไม่ โจทก์มีนายดาบตำรวจจตุรงค์ มณีวรรณ และพันตำรวจโทวีระศักดิ์ ชินบุตร เป็นประจักษ์พยาน นายดาบตำรวจจตุรงค์เป็นพยานผู้เข้าติดต่อเจรจาทำการซื้อขาย และร่วมจับกุมเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้นำตัวอย่างเมทแอมเฟตามีนมาให้พยานดู เป็นผู้เจรจาต่อรองราคากับพยาน เมื่อจำเลยที่ 1 เรียกจำเลยที่ 2 ไปหลังร้านหารือกันแล้วก็ยอมลดราคาให้พยาน จำเลยที่ 1 เป็นคนขอดูและไปดูเงินในกระเป๋าที่ห้องเก็บของท้ายรถพยาน แล้วจำเลยที่ 1 ขับรถของจำเลยที่ 1 ไปเอาเมทแอมเฟตามีนของกลาง 94 ถุง มาส่งมอบแก่พยาน แล้วจึงมีการจับกุม พันตำรวจโทวีระศักดิ์เบิกความยืนยันว่าพยานเป็นผู้จับกุม โดยพยานซุ่มดูอยู่นอกร้านอาหาร พยานเห็นนายดาบตำรวจจตุรงค์คุยกับจำเลยทั้งสองแล้วนายดาบตำรวจจตุรงค์เดินออกมากับจำเลยที่ 1 พากันไปที่รถของนายดาบตำรวจจตุรงค์นายดาบตำรวจจตุรงค์เปิดท้ายรถเพื่อดูของที่ท้ายรถแล้วปิด อันสอดคล้องกับที่นายดาบตำรวจจตุรงค์เบิกความว่าพาจำเลยที่ 1 ไปดูเงิน พยานเห็นจำเลยที่ 1 ขับรถของจำเลยที่ 1 ออกไป 30 นาที แล้วกลับมา แล้วจำเลยที่ 1 คุยกับนายดาบตำรวจจตุรงค์อีก และพยานเห็นพฤติการณ์ที่แสดงว่ามีการส่งมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางจนกระทั่งเห็นนายดาบตำรวจจตุรงค์ให้สัญญาณ พยานและพวกก็เข้าจับกุมจำเลยทั้งสองพยาน 2 ปาก นี้เป็นเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่ ไม่เคยรู้จักกับจำเลยที่ 1 จึงไม่มีเหตุอันควรระแวงสงสัยว่าจะแกล้งปรักปรำจำเลยที่ 1 พยานทั้งสองเบิกความได้สอดคล้องต้องกันโดยตลอด มีเหตุผลให้เชื่อว่าได้รู้เห็น และเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเช่นนั้นจริง ข้อที่จำเลยที่ 1 กล่าวในฎีกาว่า โจทก์ไม่มีเงินสดที่ใช้ล่อซื้อเป็นของกลาง จึงไม่น่าเชื่อถือว่ามีการซื้อขาย หรือหากจะมีการซื้อขายก็เป็นเพียงขั้นพยายามกระทำความผิด ไม่ถึงขั้นความผิดสำเร็จ นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4 บัญญัติว่า ขาย หมายความรวมถึง ส่งมอบการที่จำเลยที่ 1 ตกลงขายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้นายดาบตำรวจจตุรงค์ถึงขั้นส่งมอบเมทแอมเฟตามีนแล้ว แม้นายดาบตำรวจจตุรงค์ยังไม่ได้ชำระราคา ก็เป็นความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนสำเร็จ โดยมิพักต้องวินิจฉัยในแง่กฎหมายแพ่ง พยานโจทก์ที่นำสืบรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 จริงตามฟ้อง พยานจำเลยที่ 1 ไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้

พิพากษายืน

Share