แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยทำงานให้แก่จำเลยในประเทศไทยมูลคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างค้างจ้าย ค่าทำงานล่วงเวลาสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายในการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นในประเทศไทยแม้จำเลยจะมิได้มีภูมิลำเนาในประเทศไทย โจทก์ก็ชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลแรงงานกลางได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 33.
แม้อายุสัญญาขุดเจาะน้ำมันระหว่างจำเลยกับบริษัท ท. จะกำหนดเวลาไว้แน่นอน แต่โจทก์กับจำเลยมิได้ตกลงจ้างกันเพียงหมดอายุสัญญาระหว่างจำเลยกับบริษัท ท.คราวใดคาวหนึ่ง การจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงหาใช่การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามสำนวนโดยไม่ปรากฏความผิด ไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จ่ายค่าชดเชยค้างจ่ายค่าจ้าง และจำเลยค้างจ่ายค่าทำงานล่วงเวลาแก่โจทก์สำนวนแรก ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ทุกสำนวน พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยสำนวนแรกและสำนวนที่สองให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างแน่นอน มูลคดีเป็นเรื่องพิพาทตามข้อตกลงสัญญาว่าจ้างซึ่งได้กระทำในต่างประเทศ มิได้มีข้อตกลงให้ฟ้องในประเทศไทยทั้งจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาในประเทศไทย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลแรงงานกลาง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาแก่โจทก์สำนวนแรกเพราะโจทก์สำนวนแรกทำงานในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงจำเลยไม่ได้ค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ทุกสำนวน จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเพราะโจทก์ฝ่าฝืนข้อสัญญาอย่างร้ายแรง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ค่าล่วงเวลาสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยที่ขาด พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์สำนวนแรก ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์สำนวนที่สอง ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์สำนวนที่สาม
โจทก์สำนวนที่สามและจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้เพิกถอนการสืยพยานโจทก์สำนวนที่สามและการสืบพยานจำเลยให้ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคำให้การของจำเลยสำนวนที่สามให้ถูกต้อง โดยสืบพยานโจทก์ในสำนวนที่สามและพยานจำเลยใหม่
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาคดีทั้งสามสำนวนให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสามสำนวนอย่างเดียวกันกับที่พิพาทในชั้นแรก
จำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยทำงานให้แก่จำเลยในประเทศไทย มูลคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างค้างจ่าย ค่าทำงานล่วงเวลา สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าชดเชยและค่าเสียหายในการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นคดีนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยโจทก์จึงชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลแรงงานกลางได้ ถึงหากจำเลยจะมิได้มีภูมิลำเนาในประเทศไทยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 33
แม้อายุสัญญาขุดเจาะน้ำมันที่จำเลยทำไว้กับบริษัทไทยเชลล์จำกัดจะกำหนดเวลาไว้แน่นอนคราวละ 6 เดือน แต่เมื่อโจทก์กับจำเลยมิได้ตกลงจ้างกันเพียงหมดอายุสัญญาระหว่างจำเลยกับบริษัทไทยเชลล์ จำกัด คราวใดคราวหนึ่งการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงหาใช่การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนไม่
พิพากษายืน.