คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7527/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายณ บ้านที่จำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ซึ่งเป็นหลักฐานเบื้องต้นของทางราชการที่แสดงว่า จำเลยมีถิ่นที่อยู่อันเป็นภูมิลำเนา ณ ที่นั้น ก่อนถูกฟ้องจำเลยก็เคยได้รับหนังสือจากทนายความให้เปิดทางเดินโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับที่บ้านเลขที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ผู้ส่งหมายเรียกได้ปิดหมายเรียกไว้ที่ประตูไม้ทางเข้าบ้าน คนเดินผ่านสามารถมองเห็นได้ชัด การที่จำเลยไม่ได้อาศัยในบ้านหลังที่จำเลยมีชื่อในทะเบียนบ้าน และจำเลยยังทราบว่าอาจถูกฟ้องเนื่องจากได้รับหนังสือทนายความให้เปิดทางเดิน และจำเลยก็ไปเก็บค่าเช่าที่บ้านเลขที่ดังกล่าวเดือนละ 5 ถึง 6 ครั้ง จำเลยน่าจะให้ความเอาใจใส่ในเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่จำเลยกลับไม่เอาใจใส่ กรณีถือได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 20 ธันวาคม 2536 และแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบโดยการปิดหมายในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2536 แล้วดำเนินการสืบพยานโจทก์ในวันนัดดังกล่าวไป เมื่อเป็นการสืบพยานโจทก์โดยไม่ให้จำเลยทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบวัน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 184 วรรคสองศาลฎีกาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่การนัดสืบพยานโจทก์เป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบด้วย มาตรา 247

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินส่วนหนึ่งในโฉนดที่ดินของจำเลยตกเป็นทางภารจำยอมหรือเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสามโดยให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมหรือทางจำเป็นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย กับขอให้จำเลยเปิดทางพิพาท และทำให้ทางพิพาทมีสภาพดีเหมือนเดิม ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องแล้วมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย โจทก์นำส่งหมายและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยวิธีปิดหมายครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยื่นคำให้การและไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาดำเนินการพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่าไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่

โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติในเบื้องต้นว่า จำเลยมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านเลขที่ 271/7 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางอ้อ เขตบางพลัดกรุงเทพมหานคร โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2536และนำส่งสำเนาคำฟ้องกับหมายเรียกให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายที่ภูมิลำเนาจำเลยตามทะเบียนบ้านดังกล่าว จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 20 ธันวาคม 2536 โจทก์นำส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2536ถึงวันนัดจำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยขาดนัดพิจารณา

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสามมีว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสามนำส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมาย ณ บ้านเลขที่ 271/7 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางอ้อเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร อันเป็นบ้านที่จำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ซึ่งเป็นหลักฐานเบื้องต้นของทางราชการที่แสดงว่า จำเลยมีถิ่นที่อยู่อันเป็นภูมิลำเนาณ ที่นั้น นอกจากนั้นจำเลยก็เบิกความรับว่า ก่อนถูกฟ้องคดีนี้จำเลยเคยได้รับหนังสือจากทนายความให้เปิดทางเดินโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับที่บ้านเลขที่ดังกล่าวตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 และเลข 3 และนางสาวพรทิพย์ โตวิระ ก็เบิกความรับเช่นเดียวกันว่า หากทางราชการส่งเอกสารให้แก่จำเลยที่บ้านเลขที่ดังกล่าวจะไม่มีปัญหา เนื่องจากจะถูกส่งต่อมาให้จำเลยโดยผู้เช่ารับเอกสารไว้แทน และรอมอบให้จำเลยซึ่งปรากฏตามคำเบิกความของจำเลยว่า จำเลยจะไปเก็บค่าเช่าเดือนละ5 ถึง 6 ครั้ง ทั้งนายสุรศักดิ์ เซ็งพาณิชย์ เจ้าหน้าที่ศาลแพ่งธนบุรีซึ่งเป็นผู้ส่งหมายเรียกพร้อมสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยก็เบิกความยืนยันว่าพยานปิดหมายที่ประตูไม้ทางเข้าบ้าน คนเดินผ่านสามารถมองเห็นได้ชัด เป็นการแสดงชัดเจนว่าบุคคลทั่วไปสามารถติดต่อกับจำเลยได้ ณ บ้านเลขที่ดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีข้อเท็จจริงใดแสดงว่าโจทก์ทั้งสามทราบที่อยู่ที่แท้จริงของจำเลยการที่จำเลยไม่ได้อาศัยในบ้านหลังที่จำเลยมีชื่อในทะเบียนบ้าน และจำเลยยังทราบว่าอาจถูกฟ้องเนื่องจากได้รับหนังสือทนายความให้เปิดทางเดินดังกล่าวและจำเลยก็ไปเก็บค่าเช่าที่บ้านเลขที่ดังกล่าวเดือนละ 5 ถึง 6 ครั้ง จำเลยน่าจะให้ความเอาใจใส่ในเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่จำเลยกลับไม่เอาใจใส่ เช่นนี้จำเลยจะกล่าวอ้างว่าไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การไม่ได้ ส่วนปัญหาว่าจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่นั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 20 ธันวาคม 2536 และแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบโดยการปิดหมายในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2536 แล้วดำเนินการสืบพยานโจทก์ในวันนัดดังกล่าว เมื่อคำนวณแล้วปรากฏว่าเป็นการสืบพยานโจทก์โดยไม่ให้จำเลยทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบวัน เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 184 วรรคสอง จึงให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่การนัดสืบพยานโจทก์เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบด้วยมาตรา 247 ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่อีกต่อไป

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและเพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่การนัดสืบพยานโจทก์เป็นต้นไป ให้ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดสืบพยานแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share