คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4107/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญาเช่าไม่ได้ระบุว่าการชำระค่าเช่าให้ปฏิบัติต่อกันอย่างไร แต่การที่ผู้ให้เช่าและผู้เช่าตกลงกันว่าให้ผู้ให้เช่าเป็นฝ่ายไปเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าและปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ตลอดมา จึงฟังได้ว่าผู้ให้เช่ามีหน้าที่ไปเก็บค่าเช่าจากผู้เช่า เมื่อผู้ให้เช่าไม่ไปเก็บค่าเช่าจากผู้เช่า จะถือว่าผู้เช่าผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าอันเป็นเหตุให้ผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 1735/2517) ตามบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่ามีใจความว่า ผู้เช่ามีสิทธิจะให้ผู้อื่นเช่าช่วงต่อไปได้แต่จะต้องเสียค่าเปลี่ยนชื่อให้ผู้เช่าครั้งละ 4,000 บาท คำว่า ‘เปลี่ยนชื่อ’ ในสัญญาข้อนี้ จึงย่อมหมายถึงการไปจดทะเบียนการเช่าเปลี่ยนชื่อผู้เช่าจากผู้เช่าเป็นชื่อผู้เช่าช่วง ในกรณีผู้เช่าให้เช่าช่วงโดยไม่มีการเปลี่ยนชื่อผู้เช่าเป็นชื่อผู้เช่าช่วงตามที่จดทะเบียนการเช่าไว้ ผู้เช่าก็ไม่ต้องเสียค่าเปลี่ยนชื่อให้แก่ผู้ให้เช่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำสัญญาและจดทะเบียนการเช่าตึกแถวของโจทก์ตามสัญญาเช่ามีเงื่อนไขว่าจำเลยจะต้องชำระค่าเช่าล่วงหน้าให้โจทก์ภายในวันที่ 5 ของทุกเดือนและผู้เช่ามีสิทธิให้เช่าช่วงได้แต่ต้องเสียค่าเปลี่ยนชื่อให้โจทก์ครั้งละ 4,000 บาท ถ้าผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งให้ถือว่าสัญญาเช่าสิ้นสุดลงต่อมาจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าติดต่อกันรวม 5 เดือน ทั้งยังเอาตึกแถวดังกล่าวไปให้เช่าช่วงโดยไม่ได้เสียค่าเปลี่ยนชื่อตามสัญญาให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเช่ากับค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าต่อโจทก์ตามข้อตกลงและทางปฏิบัติโจทก์เป็นฝ่ายไปเก็บค่าเช่าจากจำเลย ต่อมาโจทก์ไม่ไปเก็บ จำเลยนำไปชำระโจทก์ก็ไม่ยอมรับ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดนัด ในเรื่องการเช่าช่วงตามบันทึกต่อท้ายสัญญาระบุให้จำเลยมีสิทธิให้ผู้อื่นเช่าช่วงต่อไปได้จึงเป็นสิทธิของจำเลยที่จะทำได้ ส่วนข้อสัญญาที่ว่าจะต้องเปลี่ยนชื่อครั้งละ4,000 บาท นั้น หมายถึงกรณีที่จำเลยประสงค์ที่จะให้โจทก์เปลี่ยนชื่อผู้เช่าตามที่จดทะเบียนการเช่าไว้ ในกรณีที่จำเลยไม่มีความประสงค์ที่จะโอนสิทธิการเช่าตามที่จดทะเบียนการเช่าไว้ จำเลยจึงไม่ต้องเสียค่าเปลี่ยนชื่อให้โจทก์ เมื่อกลางปีพ.ศ. 2524 จำเลยตกลงจะโอนสิทธิการเช่าตึกแถวทั้งหมดให้นางสาววิไลวรรณ ภูมิบรรเจิด จำเลยแจ้งให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าโดยจำเลยยินดีเสียค่าเปลี่ยนชื่อผู้เช่า แต่โจทก์บิดพลิ้ว โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งขอให้บังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าตึกแถวตามฟ้องแก่นางสาววิไลวรรณ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งเคลือบคลุมและจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาส่วนที่โจทก์แจ้งให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าให้นางสาววิไลวรรณนั้น เป็นเวลาภายหลังที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยไปแล้ว ไม่มีผลบังคับ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์และให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามสัญญาเช่าไม่ได้ระบุว่าการชำระค่าเช่าให้ปฏิบัติต่อกันอย่างไร แต่ตามพยานหลักฐานโจทก์จำเลยเชื่อได้ว่า การชำระค่าเช่าโจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์ผู้ให้เช่าเป็นฝ่ายไปเก็บค่าเช่าจากจำเลย และปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ตลอดมา จึงฟังได้ว่าโจทก์มีหน้าที่ไปเก็บค่าเช่าจากจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ไปจะถือว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าอันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหาได้ไม่
ในเรื่องการเอาห้องพิพาทไปให้เช่าช่วง ตามบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่ามีใจความว่าผู้เช่ามีสิทธิจะให้ผู้อื่นเช่าช่วงต่อไปได้ แต่จะต้องเสียค่าเปลี่ยนชื่อให้ผู้ให้เช่าครั้งละ 4,000 บาท คำว่า “เปลี่ยนชื่อ” ในสัญญาข้อนี้ จึงย่อมหมายถึงการไปจดทะเบียนการเช่าเปลี่ยนชื่อผู้เช่าจากจำเลยเป็นชื่อผู้เช่าช่วงนั่นเอง และโจทก์จำเลยเจตนาตกลงทำสัญญากัน ให้มีผลผูกพันตามความหมายดังกล่าวตามสัญญาหากไม่มีการเช่าช่วงเลย สิทธิของโจทก์คงมีเพียงได้รับค่าเช่ารายเดือนไปตลอดจนครบอายุสัญญาเช่า โจทก์จะมีสิทธิได้รับเงินค่าเปลี่ยนชื่อก็เฉพาะกรณีที่มีการจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่าช่วงเท่านั้น และตามเงื่อนไขสัญญานี้เป็นเพียงให้โจทก์มีสิทธิได้เงินค่าเปลี่ยนชื่อและบังคับเรียกเงินค่าเปลี่ยนชื่อจากจำเลยเมื่อมีการจดทะเบียนโอนสิทธิการช่าให้ผู้เช่าช่วงเท่านั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์ทั้งสองกรณีเป็นการมิชอบ โจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน

Share