คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3707/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ แก่โจทก์ จำเลยให้การว่ามิได้ผิดสัญญาและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ก่อนสืบพยานคู่ความท้ากันให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยไม่ต้องสืบพยาน เพียงประเด็นเดียวว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ดังนี้ ปัญหาที่ว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่จึงเป็นปัญหา ที่คู่ความสละแล้วศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดประเด็น ตามคำท้าไปได้โดยไม่ต้องฟังข้อเท็จจริงให้เป็นยุติว่าจำเลย ผิดสัญญาหรือไม่
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไว้โดยมีข้อผูกพันจำเลยว่า จำเลยจะทำสัญญาให้ผู้มีชื่อเช่าตึกแถวและจำเลยจะต้องก่อสร้างตึกแถวเพื่อให้ผู้มีชื่อได้เช่า จำเลยจึงมีหน้าที่จะต้อง ปฏิบัติตามข้อตกลงต่างๆใน สัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลย มิใช่เรื่องของบุคคลภายนอกกับโจทก์หรือจำเลย ดังนั้น แม้บุคคลภายนอกจะยังมิได้แสดงเจตนาต่อจำเลย ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาดังกล่าวก็มิใช่ข้อที่จำเลยจะอ้างได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องใจความว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมให้นายเชิดศักดิ์กับพวกทำสัญญาเช่าตึกแถวตามระยะเวลาและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยผิดสัญญาไม่ยอมทำสัญญาเช่าให้แก่ผู้เช่า และโจทก์จำเลยยังได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันอีกว่า จำเลยจะทำการก่อสร้างตึกแถวที่สร้างค้างอยู่ต่อไปจนเสร็จเพื่อให้นางสมจิตกับพวกได้เช่า แต่จำเลยกลับเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำให้โจทก์ซึ่งจะต้องรับผิดต่อนางสมจิตกับพวกได้รับความเสียหาย จึงขอให้พิพากษาและบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา หากปฏิบัติไม่ได้ก็ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การใจความว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย และไม่มีอำนาจฟ้อง
ก่อนสืบพยาน คู่ความตกลงท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยคดีทั้งสองสำนวนเพียงประเด็นเดียวคือ โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นข้อแพ้ชนะกัน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง พิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้แก่โจทก์ทั้งสองสำนวน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สำนวนแรกข้อเท็จจริงยังฟังยุติไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ การท้ากันว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่จึงไม่มีผล ส่วนสำนวนที่สองข้อเท็จจริงฟังยุติได้และเห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในสำนวนแรกให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ สำนวนที่สองให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับสำนวนแรกนั้น โจทก์ฎีกาว่า โจทก์จำเลยท้ากันไม่สืบพยาน คู่ความต่างสละประเด็นอื่นทั้งหมด คงท้ากันให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลจึงต้องวินิจฉัยไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่แล้วเท่านั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้แก่โจทก์โดยไม่ยอมทำสัญญาเช่าและจดทะเบียนการเช่าให้แก่บุคคลที่โจทก์ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ผิดสัญญา บุคคลที่โจทก์ระบุไว้ไม่เคยไปติดต่อทำสัญญาเช่ากับจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยทำสัญญาเช่ากับบุคคลดังกล่าว ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า 1. จำเลยผิดสัญญายอมหรือไม่ 2. โจทก์มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญายอมได้เพียงใด ก่อนสืบพยาน คู่ความท้ากันให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเป็นข้อแพ้ชนะกันโดยไม่ต้องสืบพยานเพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ดังนั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ จึงเป็นปัญหาที่คู่ความได้สละแล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวอีกศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นตามคำท้าของคู่ความไปได้โดยไม่ต้องฟังข้อเท็จจริงให้เป็นยุติว่าจำเลยผิดสัญญาหรือไม่ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
ส่วนปัญหาเรื่องโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งในสำนวนแรกและสำนวนที่สองตามฎีกาของจำเลยหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไว้โดยมีข้อผูกพันจำเลยว่า จำเลยจะทำสัญญาให้นายเชิดศักดิ์กับพวกเช่าตึกแถวตามระยะเวลาและเงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมยอมความประการหนึ่งกับจำเลยจะต้องก่อสร้างตึกแถวให้แล้วเสร็จด้วยทุนทรัพย์ของจำเลยเองเพื่อให้นางสมจิตกับพวกซึ่งได้ขอเช่าไว้ได้เช่าจากจำเลยโดยจำเลยจะต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายอีกประการหนึ่ง จำเลยก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงต่าง ๆ ในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความมีอำนาจฟ้องจำเลยได้เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลย มิใช่เรื่องของบุคคลภายนอกกับโจทก์หรือจำเลยดังนั้น แม้บุคคลภายนอกจะยังมิได้แสดงเจตนาต่อจำเลยว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาดังกล่าว ก็มิได้ข้อที่จำเลยจะอ้างได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share