คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3478/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีร้านทำการค้าขณะที่จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน อยู่ เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์เป็นอย่างอื่นย่อมฟังได้ว่า กิจการร้านค้าดังกล่าว จำเลยกับผู้ร้องกระทำด้วยกันตามธรรมดาของสามีภริยาจำเลยกู้เงินโจทก์ ไปใช้ในกิจการร้านค้าจึงเป็นหนี้ที่เกิดจากการงานที่ผู้ร้องกับจำเลย ทำด้วยกันเป็นหนี้ร่วม ต้องเอาชำระจากสินสมรสและสินส่วนตัว ของทั้งสองฝ่าย ที่ดินที่ขายทอดตลาดเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้องผู้ร้องจึงขอกันส่วนของตนไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 8811 ที่โจทก์นำยึดเป็นทรัพย์สินของผู้ร้อง มิใช่ของจำเลย ขอให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องซื้อมาในระหว่างสมรสเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง โจทก์มีอำนาจขอให้ยึดเพื่อเอาชำระหนี้ได้ มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน ต่อมาผู้ร้องยื่นคำแถลงว่า ที่ดินดังกล่าวได้ขายทอดตลาดแล้วได้เงินจำนวน 180,800 บาท เงินจำนวนนี้เป็นส่วนของผู้ร้องกึ่งหนึ่งจึงขอรับศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าให้ผู้ร้องนำหลักฐานมาแสดง ผู้ร้องยื่นคำแถลงว่า หลักฐานของผู้ร้องคือคำพิพากษาศาลฎีกาในชั้นร้องขัดทรัพย์ซึ่งได้วินิจฉัยว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ร้องกึ่งหนึ่งโดยเป็นสินสมรส
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาว่าที่ดินโฉนดที่ 8811เป็นสินสมรส ค่าขายที่ดินจึงต้องเอาชำระหนี้ของโจทก์อันเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยก่อน ถ้าเหลือผู้ร้องจึงจะขอรับไปเป็นส่วนของผู้ร้องได้ ขอให้ยกคำแถลง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำแถลงเข้ามาโดยไม่ทำเป็นคำร้องและเสียค่าธรรมเนียม เป็นการไม่ชอบ มีคำสั่งให้จำหน่ายคดี
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าธรรมเนียมจากผู้ร้องแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นเรียกค่าธรรมเนียมจากผู้ร้องแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องฎีกาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 8811 ผู้ร้องซื้อมาด้วยทรัพย์สินที่ผู้ร้องหามาได้เป็นส่วนตัว ไม่ได้นำเงินรายได้จากจำเลยมาสมทบ จึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องกับจำเลยหย่ากัน ได้แบ่งสินส่วนตัวดังกล่าวเป็นของผู้ร้องตามเดิม การขายที่ดินที่ยึดนี้จึงเป็นการขายไปในฐานะเป็นกรรมสิทธิ์รวม มิใช่ขายสินสมรส ผู้ร้องจึงมีสิทธิได้รับเงินที่ขายกึ่งหนึ่ง ข้อนี้ผู้ร้องยื่นคำแถลง(ต่อมาได้เสียค่าธรรมเนียมค่าคำร้องแล้ว) ว่าศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้ในคดีที่ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์แล้วว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ผู้ร้องจึงขอรับเงินจำนวนกึ่งหนึ่งของที่ขายที่ดินรายนี้ได้ ดังนี้ เป็นเรื่องผู้ร้องขอกันส่วนเงินที่ขายที่ดินดังกล่าวในฐานะที่ดินเป็นสินสมรส ข้อที่ว่าที่ดินเป็นสินส่วนตัวก็ดีเป็นกรรมสิทธิ์รวมก็ดี เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ผู้ร้องยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ผู้ร้องฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นในการที่จำเลยกู้ยืมเงินก้อนใหญ่ไปทำการค้าส่วนตัว ผู้ร้องจึงไม่ต้องรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยข้อนี้เห็นว่า จำเลยทำการค้าโดยตั้งร้านชื่ออินเดียสะโตร์ขณะที่จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์เป็นอย่างอื่นย่อมฟังได้ว่ากิจการร้านค้าดังกล่าวจำเลยกับผู้ร้องกระทำด้วยกันตามธรรมดาของสามีภริยา จำเลยกู้เงินโจทก์ไปใช้ในกิจการร้านค้าอินเดียสะโตร์ จึงเป็นหนี้ที่เกิดจากการงานที่ผู้ร้องกับจำเลยทำด้วยกันเป็นหนี้ร่วม ต้องเอาชำระจากสินสมรสและสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่ายที่ดินที่ขายในคดีนี้เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ผู้ร้องจึงจะขอกันส่วนของตนหาได้ไม่ ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share