แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เช่าซื้อมีสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อในอันที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สิน ที่ตนเช่าซื้อมาย่อมมีสิทธิฟ้องผู้ที่มายึดทรัพย์สินนั้นจากตนโดยละเมิดได้ แม้ภายหลังผู้ให้เช่าซื้อจะยึดทรัพย์สินคืนไป ก็ไม่ทำให้ผลการละเมิดที่กระทำไว้ก่อนระงับตามไปด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 424 บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิด และกำหนดค่าสินไหมทดแทนนั้น ศาลไม่จำต้องดำเนินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญา อันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษและไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ ผู้กระทำละเมิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ฉะนั้นการที่ศาลเคยพิพากษาในคดีอาญาว่า จำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์และ ยกฟ้องโจทก์ ก็ไม่จำต้อง ฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เพราะจำเลยอาจกระทำผิดกฎหมายอย่างอื่นเช่นกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ในการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ไว้แล้วก็ ได้ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่
สามีโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ยอมความกันใน คดีอาญาโดยสามีโจทก์ตกลงผ่อนชำระหนี้ศาลสั่งจำหน่ายคดี เมื่อโจทก์ผิดนัด จำเลยที่ 1 ชอบที่จะ ฟ้องคดีต่อศาลบังคับให้ สามีโจทก์ชำระหนี้จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของ โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241และการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เป็นอำนาจของศาลและของ เจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเฉพาะ ดังนั้น การที่จำเลยที่1และทหารพรานยึดรถยนต์ที่อยู่ใน ความครอบครอง ของ โจทก์ไป อ้างว่าเป็นรถยนต์ผิดกฎหมาย นำส่งพนักงานสอบสวน โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายจึงเป็น การกระทำ โดยละเมิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์กระบะบรรทุก 1 คันโดยเช่าซื้อมาจากบริษัทสยามกลการ จำกัด จำเลยทั้งสองร่วมกันนำรถยนต์ดังกล่าวไปจากโจทก์โดยไม่มีอำนาจแล้วบังอาจทำให้เสียหายเป็นเงิน 100,000 บาท โจทก์ใช้รถยนต์บรรทุกสินค้าไปขายมีกำไรสุทธิวันละ 350 บาท ต้องขาดประโยชน์เป็นเวลา1 ปี เป็นเงิน 126,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 226,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์กับนายสุจินต์ สามี เป็นลูกหนี้จำเลยที่ 1 แล้วตกลงมอบรถยนต์ดังกล่าวให้ไว้เป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิยึดหน่วงไว้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ไปทวงหนี้ โจทก์ขอผัดผ่อนและจะนำรถยนต์หลบหนีจำเลยที่ 1 จึงถอดยางและหม้อแบตเตอรี่ออก วันต่อมาทหารพรานแจ้งข้อหานายสุจินต์ มีรถยนต์ผิดกฎหมายไว้ในครอบครองและนำรถยนต์ไปมอบให้พนักงานสอบสวน โจทก์ติดค้างค่าเช่าซื้อ บริษัทจึงยึดรถยนต์กลับไป จำเลยที่ 2ไม่ได้ร่วมกระทำกับจำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุโจทก์กับสามีไม่มีทุนทำการค้า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์วันละ150 บาท นับแต่วันทำละเมิดคือวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2524 ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2525
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ150 บาท เป็นเวลา 6 เดือนนับแต่วันทำละเมิด
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 นั้น เป็นการจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายแก่ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ถือได้ว่ากระทำละเมิดแล้ว โจทก์หาจำต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ถูกละเมิดเสมอไปไม่ เมื่อโจทก์มีสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อในอันที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่ตนเช่าซื้อมา ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องผู้ที่มาละเมิดสิทธิของตนได้ แม้ภายหลังผู้ให้เช่าซื้อจะยึดทรัพย์สินคืนไป ก็ไม่ทำให้ผลการละเมิดที่กระทำไว้ก่อนระงับตามไปด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้
ที่จำเลยฎีกาว่าหลังจากจำเลยทั้งสองยึดรถยนต์ไว้ จำเลยถูกพนักงานอัยการฟ้องในข้อหาลักทรัพย์รถยนต์แต่ศาลพิพากษายกฟ้อง ต้องถือว่าจำเลยกระทำโดยสุจริต ไม่เป็นการกระทำผิดกฎหมาย จึงไม่เป็นการละเมิดนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 บัญญัติถึงปัญหานี้ไว้โดยเฉพาะว่าในการพิพากษาคดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิด และกำหนดค่าสินไหมทดแทนนั้นศาลไม่จำต้องดำเนินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลเคยพิพากษาในคดีอาญาว่าจำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์และยกฟ้องโจทก์ ก็ไม่จำต้องฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เพราะจำเลยอาจจะกระทำผิดกฎหมายอย่างอื่นเช่น กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ในการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ไว้แล้วก็ได้ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่
เดิมสามีโจทก์เป็นลูกหนี้จำเลยที่ 1 เนื่องจากซื้อสินค้าเชื่อแล้วชำระหนี้ด้วยเช็คแต่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน สามีโจทก์ถูกพนักงานอัยการฟ้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ผลที่สุดจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เสียหายกับสามีโจทก์ยอมความกัน สามีโจทก์ตกลงผ่อนชำระหนี้ให้ โดยมีนายหีด บ่อทองคำ นำโฉนดที่ดินมาประกันหนี้ไว้ ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดี ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 375/2524 ของศาลจังหวัดพัทลุง เมื่อโจทก์ผิดนัด จำเลยที่ 1ชอบที่จะฟ้องคดีต่อศาล บังคับให้สามีโจทก์และนายประกันชำระหนี้ จำเลยที่ 1ไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ดังกล่าวซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ดังที่อ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 และการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นอำนาจของศาล และของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยเฉพาะจำเลยที่ 1 กับพวกรวมทั้งทหารพรานหามีอำนาจที่จะกระทำการดังกล่าวได้ไม่ทั้งทหารพรานไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะยึดรถยนต์ไม่มีทะเบียน อ้างว่าเป็นรถยนต์ผิดกฎหมายนำส่งพนักงานสอบสวน ดังที่จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้และนำสืบหากกระทำไปย่อมเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ เห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์โดยตรง
พิพากษายืน