แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือมอบอำนาจระบุว่าให้ผู้รับมอบอำนาจเป็นผู้กระทำการในกิจการต่าง ๆ แทน โดยมีข้อหนึ่งระบุว่า ให้มีอำนาจฟ้องบุคคลใดหรือนิติบุคคลใดต่อศาลในคดีแพ่ง จึงเป็นการมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีแทนแล้ว แม้มิได้ระบุตัวบุคคลที่จะให้ฟ้องไว้โดยเฉพาะเจาะจงก็ตาม
เมื่อตามคำฟ้องและคำให้การรับกันว่ามีการเช่าที่พิพาทอยู่จริงแล้วโจทก์ผู้ให้เช่าแถลงรับว่าไม่มีหนังสือสัญญาเช่าที่ได้กำหนดเวลาเช่ากันไว้ก็ต้องฟังว่าเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลาอันการเลิกสัญญาเช่าจะต้องบอกกล่าวตามกฎหมาย และแม้โจทก์จะมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาทภายใน 15 วันก็ตาม แต่เมื่อขณะที่โจทก์ฟ้องขับไล่นั้นเป็นเวลาเกินกว่า2 เดือนแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยฎีกาในข้อที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ซึ่งจำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้าน ถือว่าจำเลยสละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้วข้อฎีกาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายชวนเป็นผู้ฟ้องและดำเนินคดีนี้ จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวจากโจทก์มีกำหนด 1 ปี เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยยังคงเช่าตึกพิพาทตลอดมาโดยไม่ได้ทำสัญญาเช่าใหม่ โจทก์มอบให้ทนายมีหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลย จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหายโจทก์คิดค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าเช่า ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถว ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าหนังสือมอบอำนาจเป็นหนังสือมอบอำนาจทั่วไปและไม่ได้มอบอำนาจให้ฟ้องจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย สัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมข้อความในสัญญาเช่าจำเลยไม่เคยตกลงด้วย การเช่าระหว่างโจทก์จำเลยเป็นการเช่าไม่มีกำหนดเวลา โจทก์ต้องบอกกล่าวให้จำเลยออกจากตึกพิพาทไม่น้อยกว่า 2 เดือนแต่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากตึกพิพาทภายใน 15 วัน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
วันชี้สองสถานโจทก์แถลงไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยและแถลงรับว่าการเช่ารายนี้ไม่มีหนังสือสัญญาเช่า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า
1. ตามหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้อง ผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีนี้ได้หรือไม่ และ
2. โจทก์ต้องบอกกล่าวให้จำเลยออกจากตึกพิพาทก่อนฟ้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายจึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกแถว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 801 บัญญัติว่า”ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไป ท่านว่าจะทำกิจใด ๆ ในทางจัดการแทนตัวการก็ย่อมทำได้ทุกอย่าง แต่การเช่นอย่างจะกล่าวต่อไปนี้ท่านว่าหาอาจจะทำได้ไม่คือ (5)ยื่นฟ้องต่อศาล” ดังนี้จะเห็นได้ว่าหากตัวการได้มอบอำนาจให้ตัวแทนทำกิจใด ๆ โดยไม่ได้ระบุไว้ว่าให้มีอำนาจยื่นฟ้องต่อศาลได้แล้วตัวแทนย่อมจะไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลเกี่ยวกับกิจการนั้น แต่ตามหนังสือมอบอำนาจ โจทก์มอบอำนาจให้นายชวนเป็นผู้กระทำการในกิจการต่าง ๆ แทนดังต่อไปนี้โดยได้ระบุไว้ในข้อ 2 ว่า “ให้มีอำนาจเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบุคคลใด ๆ และ/หรือ นิติบุคคลใดตามกฎหมายต่อศาลในคดีแพ่ง” จึงเห็นว่าหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวโจทก์มอบอำนาจให้นายชวนมีอำนาจฟ้องบุคคลใด ๆ ตามกฎหมายได้ แม้จะไม่ได้ระบุตัวบุคคลที่จะให้ฟ้องไว้โดยเฉพาะเจาะจงนายชวนก็มีอำนาจฟ้องจำเลยคดีนี้แทนโจทก์ได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทตามสัญญาเช่า จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญาเช่าปลอม การเช่าระหว่างโจทก์จำเลยเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา โจทก์มิได้บอกกล่าวให้จำเลยออกจากตึกพิพาทไม่น้อยกว่า 2 เดือน ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ครั้นถึงวันชี้สองสถาน โจทก์แถลงรับว่าการเช่ารายนี้ไม่มีหนังสือสัญญาเช่าจริงดังจำเลยต่อสู้ คำแถลงดังนี้เห็นว่า เป็นการสละข้ออ้างของโจทก์ที่กล่าวในฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาเช่าไว้มีกำหนดเวลาเช่า 1 ปี ตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าท้ายฟ้องเท่านั้น แต่เมื่อตามคำฟ้องและคำให้การรับกันอยู่ว่ามีการเช่าตึกพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยจริง เมื่อโจทก์แถลงรับว่าไม่มีหนังสือสัญญาเช่าที่ได้กำหนดเวลาเช่ากันไว้ ก็ต้องฟังว่าเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลาอันการเลิกสัญญาเช่าจะต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาแก่จำเลยให้รู้ตัวก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 ปัญหาข้อนี้ศาลล่างยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียเองโดยมิต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างวินิจฉัย เห็นว่าจำเลยให้การรับว่าโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากตึกพิพาทภายใน 15 วันแต่เถียงว่าการบอกกล่าวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปรากฏว่าแม้ในหนังสือบอกกล่าวจะระบุว่าให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกพิพาทภายใน 15 วันก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นเวลาเกินกว่า 2 เดือนแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การว่าสัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมและข้อความในสัญญาเช่าจำเลยไม่ตกลงด้วย โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้สมข้ออ้างของตนนั้นเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานมิได้กำหนดปัญหาข้อนี้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ และจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน ถือได้ว่าจำเลยสละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้ว จึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน