แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เช่า แผงตลาดจากบริษัทฐ. อยู่ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะซื้อที่ดินที่ตั้งแผงจากบริษัท ฐ. เมื่อจำเลยที่ 2 ซื้อมาแล้วก็ขายฝากให้แก่บริษัท ค. ไปในวันเดียวกัน กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งก่อสร้างย่อมตก เป็นของผู้รับซื้อฝากซึ่งรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้ให้เช่าแผงเดิม ด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกการเช่า กับโจทก์ และโจทก์ยังมีสิทธิอยู่ในแผงของตน ต่อไป เมื่อจำเลยให้คนงานล้อมรั้วปิดกั้นแผงทำให้ลูกค้าไม่เข้าซื้อสินค้าของโจทก์จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ จำเลยที่ 2 ขายฝากที่ดินตรงที่ตั้งแผงที่โจทก์เช่า อยู่ให้แก่บริษัท ค. ตั้งแต่ก่อนฟ้องแย้ง และขณะฟ้องแย้งยังมิได้จดทะเบียนไถ่ถอนคืน จำเลยที่ 2 จึงมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งมิใช่ผู้รับโอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าในขณะฟ้องแย้ง การที่จำเลยที่ 2 บอกเลิกการเช่า กับโจทก์จึงไม่ชอบ จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ออกจากแผงที่เช่า โจทก์ฟ้องตั้งทุนทรัพย์พิพาทมาเพียง 32,400 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ตามฟ้องแย้งมาด้วยก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ทั้งจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสิบหกฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้จ้างหรือใช้หรือร่วมกับบุคคลผู้มีชื่อสร้างรั้วสังกะสีทึบสูงประมาณ 2 เมตร ปิดล้อมแผงตลาดที่โจทก์ทั้งสิบหกเช่าจากบริษัทฐาปนวิทย์ จำกัด เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสิบหกไม่สามารถดำเนินกิจการค้าของโจทก์ได้ตามปกติ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วสังกะสีออก และทำให้มีสภาพเดิมและงดเว้นการกระทำใด ๆ ที่เป็นการกีดขวางทางเดินและทำเลการค้าที่โจทก์ทั้งสิบหกคนเช่าโดยตลอด ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสิบหกถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 32,400 บาท และนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะหยุดหรือระงับการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสิบหก
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยใช้หรือร่วมกับบุคคลอื่นสร้างรั้วสังกะสีทึบปิดล้อมทางพิพาทดังกล่าวเพราะจำเลยทั้งสองไม่ใช่เจ้าของที่ดินและไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินที่ปิดกั้น จำเลยที่ 2 รับว่าโจทก์ทั้งสิบหกเช่าแผงจากบริษัทฐาปนวิทย์จำกัดจริง และจำเลยที่ 2 รับโอนสิทธิการเช่าแผงจากบริษัทฐาปนวิทย์จำกัด โดยซื้อที่ดินพร้อมสิ่งก่อสร้างที่แผงดังกล่าวตั้งอยู่ จำเลยที่ 2 ได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้โจทก์ทั้งสิบหกขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากแผงที่เช่าแล้ว แต่โจทก์ทั้งสิบหกเพิกเฉยเป็นการละเมิดสิทธิของจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง และขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทั้งสิบหกขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากแผงที่เช่า หากพ้นกำหนดตามคำบังคับแล้ว ให้จำเลยที่ 2 มีอำนาจขนย้ายทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสิบหก โดยให้โจทก์ทั้งสิบหกเสียค่าขนย้าย ให้โจทก์ทั้งสิบหกใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 280,000 บาท และวันละ10,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าโจทก์ทั้งสิบหกจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากแผงที่เช่า
โจทก์ทั้งสิบหกให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสิงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าเพราะที่ดินและแผงที่โจทก์ทั้งสิบหกเช่าตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นโดยการขายฝากแล้ว จำเลยทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์374,220 บาท และห้ามมิให้กระทำการใดเป็นการกีดขวางทางเข้าออกแผงลอยของโจทก์อีก กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาทยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,200 บาท แทนโจตทก์ทั้งสิบหก
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้นปรากฏว่าโจทก์ทั้งสิบหกได้เช่าแผงจากบริษัทฐาปนวิทย์ จำกัด อยู่ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะซื้อที่ดินที่ตั้งแผงจากบริษัทฐาปนวิทย์ จำกัดเมื่อจำเลยที่ 2 ซื้อมาแล้วก็ขายฝากไปในวันเดียวกันกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งก่อสร้างย่อมตกเป็นของผู้รับซื้อฝากซึ่งรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้ให้เช่าแผงเดิมด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกการเช่ากับโจทก์ทั้งสิบหกและโจทก์ทั้งสิบหกยังมีสิทธิอยู่ในแผงของตนต่อไป เมื่อจำเลยทั้งสองให้คนงานล้อมรั้วปิดกั้นแผงทำให้ลูกค้าไม่เข้าซื้อสินค้าของโจทก์ จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสิบหกโจทก์ทั้งสิบหกมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองได้
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยที่ 2 ได้ขายฝากที่ดินตรงที่ตั้งแผงที่โจทก์ทั้งสิบหกเช่าอยู่ให้แก่บริษัทเคดิตฟองซิเอร์เมืองไทยพาณิชย์ จำกัด เสียตั้งแต่ก่อนฟ้องแย้งและขณะฟ้องแย้งยังมิได้จดทะเบียนไถ่ถอนคืน จำเลยที่ 2 จึงมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งมิใช่ผู้รับโอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าในขณะฟ้องแย้ง การที่จำเลยที่ 2 บอกเลิกการเช่ากับโจทก์ทั้งสิบหกจึงไม่ชอบ ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้งให้ขับไล่โจทก์ทั้งสิบหกได้
ปัญหาเกี่ยวกับค่าเสียหายของโจทก์ ปรากฏว่าคดีนี้ โจทก์ฟ้องตั้งทุนทรัพย์พิพาทมาเพียง 32,400 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ตามฟ้องแย้งมาด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ทั้งจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งดังได้วินิจฉัยมาแล้วศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน”
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ทั้งสิบหกเป็นเงิน 1,000 บาท.