แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผ. กับจำเลยทำนิติกรรม ตามบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวม (มีค่าตอบแทน) มีข้อความว่าจำเลยเสียค่าตอบแทนให้ ผ. เป็นเงิน 1,600,000 บาท และ ผ. จดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมให้จำเลยจำนวน 2,000 ส่วน แต่จำเลยไม่ได้ให้ค่าตอบแทนจำนวนดังกล่าวแก่ ผ. เพราะ ผ. จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รวมให้แก่จำเลยโดยไม่มีค่าตอบแทน แต่ทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเพื่อลวงไม่ให้บุตรซึ่งเป็นบิดาโจทก์ทราบ ถือได้ว่า ผ. ทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเป็นนิติกรรมซื้อขายที่ดินกับจำเลยเพื่ออำพรางนิติกรรมยกให้
การที่นิติกรรมอันหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอีกอันหนึ่ง นิติกรรมอันแรกคือบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวม (มีค่าตอบแทน) ย่อมเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณี นิติกรรมดังกล่าวย่อมเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคแรก ส่วนนิติกรรมที่ถูกอำพรางคือสัญญาให้ต้องบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ถูกอำพราง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคสอง การที่ ผ. จดทะเบียนข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวม (มีค่าตอบแทน) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเช่นเดียวกับนิติกรรมให้ ย่อมถือได้ว่าการจดทะเบียนข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมดังกล่าวเป็นการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนสำหรับนิติกรรมการให้ที่ถูกอำพรางด้วย นิติกรรมการยกที่ดินให้ระหว่าง ผ. กับจำเลยจึงไม่เป็นโมฆะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้นิติกรรมเรื่องกรรมสิทธิ์รวม (มีค่าตอบแทน) ที่ดินโฉนดเลขที่ 2837 ตำบลบางเสาธง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 2,000 ส่วน ระหว่างนางผวนกับจำเลยลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2538 เป็นโมฆะและให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนในวันดังกล่าวด้วย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
วันนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสี่ โจทก์ทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้น จำเลยไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นให้รวมสั่งในคำพิพากษาและเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยาน จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์ทั้งสี่และพยานจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ว่า นิติกรรมที่นางผวนยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเป็นโมฆะหรือไม่ เห็นว่า นางผวนกับจำเลยได้ทำนิติกรรมตามบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวม (มีค่าตอบแทน) ที่ดินพิพาทตามฟ้องและจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมให้แก่จำเลยจำนวน 2,000 ส่วน หรือ 5 ไร่ โดยจำเลยเสียค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวน 1,600,000 บาท ซึ่งโจทก์ทั้งสี่บรรยายฟ้องว่า จำเลยไม่ได้ให้ค่าตอบแทนจำนวนเงินดังกล่าวแก่นางผวน และนางผวนก็ไม่ได้แบ่งขายกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลย ความจริงนางผวนได้โอนกรรมสิทธิ์ยกที่ดินให้แก่จำเลยโดยไม่มีค่าตอบแทน เหตุที่นางผวนทำบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวม (มีค่าตอบแทน) และจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมให้แก่จำเลย เพื่อลวงไม่ให้บิดาโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นบุตรของนางผวนทราบความจริงนั้น ถ้าข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์อ้าง ก็ถือได้ว่านางผวนทำบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวม (มีค่าตอบแทน) ซึ่งก็คือนิติกรรมซื้อขายที่ดินไว้กับจำเลยเป็นการอำพรางการยกให้ การที่นิติกรรมอันหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอีกอันหนึ่ง นิติกรรมอันแรกคือบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวม (มีค่าตอบแทน) ย่อมเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณีที่จะไม่ผูกพันกันตามเจตนาที่แสดงออกมานั้น นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคแรก ส่วนนิติกรรมอันหลังคือสัญญาให้ที่ถูกอำพรางไว้นั้น ต้องบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยนิติกรรมอันที่ถูกอำพรางไว้ตามมาตรา 155 วรรคสอง เมื่อนางผวนมีเจตนาทำสัญญาให้ที่ดินจำเลยแล้ว การที่นางผวนจดทะเบียนบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวม (มีค่าตอบแทน) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเช่นเดียวกัน ต่างกันเพียงแต่ว่ามีค่าตอบแทนหรือไม่ ไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่าการจดทะเบียนข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวม (มีค่าตอบแทน) นั้น เป็นการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนสำหรับนิติกรรมการให้ที่ถูกอำพรางด้วยโดยอนุโลม นิติกรรมให้ที่ดินพิพาทระหว่างนางผวนกับจำเลยจึงไม่เป็นโมฆะ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสี่ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.